ตำนาน “เทพบุตรคิวทอง” สตีฟ เดวิส

11 เม.ย. 60

อดีตนักสนุกเกอร์อาชีพชื่อก้องของโลก ผู้ที่สามารถครอบครองความยิ่งใหญ่ของกีฬาประเภทนี้ในระดับอาชีพ ในช่วงทศวรรษปี 1980 โดยเขาสามารถครองมือวางอันดับหนึ่งของโลกได้ถึง 7 ฤดูกาลติดต่อกัน อดีตแชมป์โลก 6 สมัย และคว้าแชมป์รายการสำคัญต่างๆ ได้มากมายนับไม่ถ้วน และนี่คือ 43 เรื่องที่คุณอาจจะยังไม่ทราบเกี่ยวกับเขาผู้นี้ ผู้ที่เคยเป็นไอดอลต้นแบบของนักสนุกเกอร์ชื่อดังมากมาย และเยาวชนหลายๆ คนอยากจะเล่นสนุกเกอร์ได้เก่งและประสบความสำเร็จแบบเขา รวมถึงเป็นผู้บุกเบิกการเล่นสนุกเกอร์ให้แพร่หลาย ก่อนที่ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปเป็นยุคของ มัจจุราชผมทอง “สตีเฟ่น เฮนดรี้” และ เดอะร็อคเก็ต “รอนนี่ โอซุลลิแวน”

1. สตีฟ เดวิส เกิดวันที่ 22 สิงหาคม 1957 ที่ย่านพลัมสตีด กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

2. สตีฟเริ่มเอาจริงเอาจังกับการเล่นสนุกเกอร์เมื่อพ่อของสตีฟได้มอบหนังสือ “How I Play Snooker” ซึ่งเป็นหนังสือที่แนะนำการเล่นสนุกเกอร์ที่สอนโดยแชมป์โลกผู้ยิ่งยงอย่าง โจ เดวิส และเขาได้ติดสอยห้อยตามพ่อของเขาไปเล่นกีฬาชนิดนี้ที่คลับสนุกเกอร์เมื่อตอนอายุ 12 ขวบ

3. เขาเล่นและฝึกซ้อมสนุกเกอร์อย่างสม่ำเสมอที่ Lucania Snooker Club ในย่านรอมฟอร์ด และพัฒนาเทคนิคการเล่นต่างๆ ในปี 1970 จากนั้นในปี 1976 สตีฟก็กลายเป็นแชมป์บิลเลียดของอังกฤษในรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี

4. พรสวรรค์ในการเล่นสนุกเกอร์ของสตีฟไปเตะตาแบร์รี่ เฮิร์น อย่างจัง ซึ่งในขณะนั้นเป็นประธานของ Lucania Snooker Club ซึ่งต่อมาแบร์รี่ เฮิร์นก็กลายมาเป็นผู้จัดการของสตีฟ และจ่ายเงินให้สตีฟครั้งละ 25 ปอนด์ เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับทุกๆ แมตช์การแข่งขัน

5. เมื่อสตีฟมีชื่อเสียงในวงการแล้ว เขาได้รับฉายาในการเล่นว่า “The Nugget” และเข้ามามีส่วนร่วมและปะทะกับนักสนุกเกอร์ระดับชั้นนำในวงการขณะนั้นอย่าง “Dracula” เรย์ เรียร์ดอน, จอห์น สเปนเซอร์, “The Hurricane” อเล็กซ์ ฮิกกินส์

6. ในปี 1978 สตีฟชนะเลิศการแข่งขันรายการ Point’s Spring Open โดยเฉือนชนะ จอห์น เมโล ในรอบชิงชนะเลิศไปด้วยสกอร์ 7-6 เฟรม และเขาสามารถป้องกันแชมป์รายการนี้ได้ในปีต่อมาด้วยการเอาชนะ จิมมี่ ไวท์ ไป 7-4 เฟรม

7. หลังจากเทิร์นโปรแล้ว สตีฟลงเล่นทัวร์นาเมนต์ที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษเป็นครั้งแรกของเขา ซึ่งเป็นซีรีย์การแข่งขันสนุกเกอร์ประจำปีชื่อรายการ Pot Black เขาเทิร์นโปรเป็นผู้เล่นอาชีพในวันที่ 17 กันยายน ปี 1978

8. รายการ World Championship ในปี 1980 สตีฟทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศของรายการนี้ด้วยการเอาชนะเต็งหนึ่งและแชมป์เก่าอย่างเทอร์รี่ กริฟฟิธ แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปชิงชนะเลิศได้เพราะพลาดท่าให้แก่ อเล็กซ์ ฮิกกินส

9. สตีฟคว้าแชมป์รายการ Coral K. Championship ซึ่งเป็นรายการเมเจอร์ให้แก่ตัวเองได้เป็นครั้งแรก ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 1980 โดยเป็นการเอาชนะคู่ปรับเก่าอย่าง อเล็กซ์ ฮิกกินส์ ในรอบชิงชนะเลิศไปด้วยสกอร์ 16-6 เฟรม

10. ในฤดูกาล 1981 เขาออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างสวยหรูเมื่อสามารถคว้าแชมป์ The Classic, International Masters และรายการ English Professional Tournamen

11. ในปี 1981 สตีฟหักปากกาเซียนและผู้สันทัดกรณีทุกสำนัก เมื่อพาตัวเองเป็นแชมป์โลก โดยคว้าแชมป์รายการ World Championship ในปีนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยการเอาชนะ ดั๊ก เมาท์จอย ไปแบบขาดกระจุย 18-2 เฟรม ทั้งๆ ที่เขาถูกจัดให้เป็นมืออันดับ 15 ของทัวร์นาเมนต์

12. สำหรับรายการ K. Championship ในปี 1981 นั้น ในรอบชิงชนะเลิศสตีฟก็สามารถเอาชนะ เทอร์รี่ กริฟฟิธ ได้อีกครั้ง ซึ่งเรียกว่าสตีฟผูกขาดแชมป์รายการนี้ได้ 2 ปีติดต่อกัน

13. วันที่ 10 มกราคม ปี 1982 สตีฟก็สร้างประวัติศาสตร์โลกอีกครั้ง ด้วยการทำแม็กซิมั่มเบรกในรอบรองชนะเลิศในการพบกับ จอห์น สเปนเซอร์ โดยเขาได้รับรถยนต์ยี่ห้อ “Lada” จากสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนรายการนี้ เป็นรางวัลสำหรับความพยายามของตัวเขาเอง

14. แต่ทว่าในปี 1982 นี้ สตีฟโดนอาถรรพ์ของครูซิเบิ้ลเล่นงาน เมื่อลงแข่งขันรายการ World Championship ในฐานะแชมป์เก่า แล้วพลิกล็อคมโหฬาร โดยแพ้ตกรอบแรกให้กับ โทนี่ โลว์เลส ไปแบบงงทั้งคนดูและคนเล่น ด้วยสกอร์สุดช็อค 10-1 เฟรม ซึ่งอาถรรพ์ของครูซิเบิ้ลคือ คนที่ได้แชมป์โลกครั้งแรก จะไม่สามารถป้องกันแชมป์ในปีถัดไปได้

15. สตีฟคว้าแชมป์ในรายการ World Double ซึ่งเป็นการแข่งขันประเภทคู่ โดยเขาจับคู่กับ โทนี่ มีโอ ซึ่งทั้งคู่คว้าแชมป์รายการนี้ไปทั้งหมด สี่จากหกครั้ง ที่มีการจัดการแข่งขัน ก่อนที่จะไม่มีการแข่งขันรายการนี้อีก

 

 

16. ต่อมาในปี 1983 สตีฟกลับมาแก้ตัวเป็นแชมป์โลกได้อีกครั้ง หลังจากโดนอาถรรพ์ครูซิเบิ้ลเล่นงานจนตกรอบแรกแบบหมอไม่รับเย็บ โดยการเอาชนะ “The Grinder” คลิฟฟ์ ธอร์นเบิร์น ไปแบบเฟรมขาด 18-6 ในรายการ World Championship 1983

17. ในปีเดียวกันนั้นเองในรายการ Coral U.K. Championship สตีฟหมายมั่นปั้นมือว่าจะคว้าแชมป์ให้ตัวเองเป็นสมัยที่ 3 แต่ก็ต้องแพ้ให้กับคู่ปรับเก่าอย่าง อเล็กซ์ ฮิกกินส์ ที่ตามมาแก้มือได้สำเร็จ ต้องเล่นกันถึงเฟรมตัดสิน โดยสตีฟเป็นฝ่ายพ่ายไปอย่างเฉียดฉิว 15-16 เฟรม ทั้งที่ เดอะ เฮอริเคนน่าจะคว้าชัยไปได้แบบไม่ยากเย็น เพราะออกนำไปก่อนถึง 7-0 เฟรม

18. ฤดูกาล 1984 สตีฟมาฟื้นคืนชีพด้วยการเอาคืนคู่ปรับตลอดกาลอย่าง อเล็กซ์ ฮิกกินส์ในรอบชิงชนะเลิศไปด้วยสกอร์ 16-8 เฟรม ทวงแชมป์รายการ K Championship คืนมาได้ และก้าวไปสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่ตัวเองและวงการสนุกเกอร์โลกอีกครั้ง ด้วยการเป็นแชมป์โลกสมัยที่สามในรายการ World Championship 1984 ด้วยการน็อค จิมมี่ ไวท์ ไป 18-16 เฟรม ซึ่งสตีฟเป็นผู้เล่นคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึงสามสมัย

19. ปี 1985 ในรายการ World Championship สตีฟในฐานะผู้ล่าแชมป์สมัยที่สี่ต้องอกหักไปไม่ถึงฝัน เมื่อมาแพ้ให้กับ “ไอ้แว่นโต” เดนิส เทย์เลอร์ ไป 17-18 เฟรม ทั้งๆ ที่สตีฟออกนำตลอด ก่อนมาพลิกผันในเฟรมตัดสิน

20. โดยการชิงดำในเฟรมตัดสินรายการดังกล่าวนั้น ได้รับการโหวตในปี 2002 ว่าเป็นความทรงจำยอดเยี่ยมของการแข่งขันกีฬาในอันดับที่ 9 จากการโหวตทั้งหมด โดยมีผู้ชมการถ่ายทอดการแข่งขันครั้งนั้นถึง 18.5 ล้านคน ติดตามชมเพื่อลุ้นผลสุดระทึกในการแข่งขันเฟรมนั้น

21. การแข่งขันรายการ Rothmans Grand Prix ระหว่าง สตีฟ เดวิส และ เดนิส เทย์เลอร์ ในปี 1985 ทั้งคู่สร้างประวัติศาสตร์สนุกเกอร์ที่ยังไม่มีผู้แข่งขันคู่ไหนๆ ทำลายได้จนถึงปัจจุบัน เมื่อทั้งคู่บรรเลงเพลงคิวในรอบชิงชนะเลิศยาวนานเป็นประวัติการณ์ นานมากที่สุดในหนึ่งวัน โดยใช้เวลาในการเล่นไปถึง 10 ชั่วโมงกับอีก 21 นาที ก่อนที่สตีฟจะเฉือนเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 10-9 เฟรม ชนิดคนซื้อบัตรเข้าชมคุ้มค่าราคาตั๋วแบบสุดๆ

22. แม้จะพลาดท่าพ่ายแพ้ต่อมือไร้อันดับอย่าง โจ จอห์นสัน ในรายการ World Championship ปี 1985 แต่สตีฟก็ยังครองบัลลังก์เบอร์ 1 ของโลกต่อไป

23. ในปี 1987 สตีฟ เดวิส สร้างความลือลั่นไปทั้งปฐพีเมื่อเป็นผู้เล่นสนุกเกอร์ระดับอาชีพคนแรกที่ทำ “ทริปเปิ้ล คราวน์” ได้สำเร็จในปีเดียวกัน คือคว้าแชมป์รายการเก่าแก่อันได้แก่K. Championship, The Masters และ World Championship ได้ในหนึ่งฤดูกาล

24. สตีฟ คว้าแชมป์รายการ The Masters ในปี 1988 ได้เป็นสมัยที่สองของตัวเขาเอง ด้วยการทุบเอาชนะ ไมค์ ฮัลเล็ตต์ ไปแบบไข่ไม่แตก 9-0 ซึ่งถือว่าเป็นสกอร์ที่ขาดลอยที่สุดในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของรายการนี้

25. ประวัติศาสตร์ต้องจารึกอีกครั้งว่า สตีฟ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่สามารถทำสามเซ็นจูรี่เบรกติดต่อกันได้ในรายการเมเจอร์ทัวร์นาเมนต์ โดยเขาทำทั้งสามเซ็นจูรี่เบรกใส่ “สิงห์อีซ้าย” จิมมี่ ไวท์ ในรายการ International Open ในฤดูกาลแข่งขันปี 1988-1989

26. ในปี 1989 สตีฟคว้าแชมป์โลกสมัยที่หก เมื่อเอาชนะ “ไอ้นกแก้ว” จอห์น แพร์ร็อต ในรายการ World Championship ไปด้วยสกอร์ 18-3 เฟรม ซึ่งถือว่าเป็นการชนะที่ขาดลอยมากที่สุดในรอบชิงชนะเลิศของรายการนี้ และถือว่าเป็นยุคของสนุกเกอร์สมัยใหม่

27. ในปีเดียวกันนั้นในรายการ Rothmans Grand Prix รอบชิงชนะเลิศ สตีฟ เดวิส ทุบเอาชนะ ดีน เรย์โนลด์ ไปแบบละเอียดเนียนเรียบ 10-0 เฟรม ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ผลการแข่งขันที่ขาดลอยมากที่สุดในรอบชิงชนะเลิศ ของรายการเก็บคะแนนสะสมสนุกเกอร์อาชีพโลก

28. หลังจบฤดูกาลแข่งขันปี 1989 สตีฟ เดวิส กลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่สามารถทำเงินรางวัลได้ถึงหนึ่งล้านปอนด์

29. ในปี 1990 สตีฟต้องตกจากบัลลังก์มือวางอันดับ 1 ของโลก ภายหลังจากตกรอบรายการ World Championship โดยแพ้ให้กับ จิมมี่ ไวท์ ในรอบก่อนรองชนะเลิศ

30. สตีฟคว้าแชมป์ The Masters ได้เป็นสมัยที่สามในปี 1997 หลังจากห่างหายจากแชมป์รายการนี้ไปตั้งแต่ปี 1988 เป็นเวลาเก้าปี ด้วยการเอาชนะผู้เล่นที่ต่อมาจะกลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของวงการสนุกเกอร์อย่าง “เดอะ ร็อคเก็ต” รอนนี่ โอซุลลิแวนในรอบชิงชนะเลิศไปด้วยสกอร์ 10-8 เฟรม

 

 

31. สตีฟ หลุดวงโคจรจากมือวางอันดับ 16 คนแรกของโลกในปี 2001 และไม่ผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปเล่นในครูซิเบิ้ลเธียเตอร์เป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี

32. ในปี 2005 สตีฟ เข้าชิงชนะเลิศรายการ K. Championship ที่จัดขึ้นที่นิวยอร์ค โดยปะทะกับ “ไอ้ลูกระเบิด” ติง จุ้นฮุย ก่อนที่สตีฟจะต้านความร้อนแรงของติงในตอนนั้นไม่ไหว พ่ายไป 6-10 เฟรม โดยแมตช์นั้นเป็นแมตช์ที่เจ้าตัวลงเล่นรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 100 ตลอดการเล่นอาชีพในรายการเมเจอร์ทัวร์นาเมนต์

33. ในเดือนมีนาคม ปี 2010 สตีฟผ่านเข้าไปเล่นรายการ World Championship เป็นครั้งที่ 30 โดยเขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดที่สามารถเอาชนะผู้แข่งขันได้ในครูซิเบิ้ลเธียเตอร์ ซึ่งตอนนั้นสตีฟอายุ 52 ปีแล้ว เฉือนเอาชนะมาร์ค คิง ไป 10-9 เฟรมในการแข่งขันรอบแรก

34. ในการแข่งขันรอบที่สองของรายการ World Championship ปี 2010 สตีฟพลิกชนะแชมป์เก่าที่ตั้งใจมาป้องกันแชมป์ของตัวเองอย่าง “พ่อมดวิสกี้” จอห์น ฮิกกินส์ และได้ถูกพิจารณาว่าเป็นเกมการแข่งขันที่ระทึกใจที่สุดเกมหนึ่งในรอบ 33 ปีที่มีการแข่งขันมา

35. วันที่ 29 เมษายน 2010 สตีฟ เดวิส และ เดนิส เทย์เลอร์ ได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้งเพื่อรำลึกถึงเฟรมตัดสินชิงดำ ที่ถือว่าเป็นแมตช์คลาสสิกในความทรงจำที่สุดครั้งหนึ่งของวงการสนุกเกอร์ ที่เกิดขึ้นในรอบชิงชนะเลิศรายการ World Championship ปี 1985 นั้นครบรอบ 25 ปี

36. สตีฟ เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศรายการชิงแชมป์ World Senior Championship แต่ไปแพ้ให้กับ ดาเรน มอร์แกน 2-1 เฟรม

37. แชมป์รายการเก็บคะแนนสะสมทั้งหมดที่สตีฟทำได้คือ 28 ครั้ง จาก 80 รายการทั้งหมดที่ลงเล่น และสามารถเข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศได้ 115 ครั้ง

38. สตีฟไม่ผ่านการคัดเลือกเข้าไปเล่นในรายการ World Snooker Championship ในปี 2014 และเป็นครั้งแรกในรอบ 36 ปี ที่เขาหลุดจากการจัดอันดับเป็นผู้เล่นมือวางระดับโลก เพื่อที่จะเข้าไปเล่นในรายการเก็บคะแนนสะสมต่างๆ ของเมนทัวร์ของ World Snooker

39. เขาได้รับการประเมินให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมตลอดกาลคนที่สาม โดยการจัดอันดับของหนังสือ “Master of the Baize”

40. ในปี 2011 สตีฟ เดวิส ได้รับเลือกให้เข้าสู่หอเกียรติยศของวงการสนุกเกอร์โลก ในฐานะที่เป็นอดีตแชมป์โลกหกสมัย และแชมป์ K. Championship อีกหกสมัย

 

 

41. สตีฟเป็นผู้มีส่วนในการริเริ่มและจัดการแข่งขัน พูล 9 ลูก รายการ Mosconi Cup ซึ่งเป็นการแข่งขันประจำปีระหว่างทีมยุโรปกับทีมสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาก็อยู่ในทีมยุโรปชุดที่ชนะเลิศในปี 1995 และ 2002

42. สตีฟเริ่มที่จะห่างหายจากการเล่นสนุกเกอร์ไปบ้างเพื่อฝึกฝนตัวเองในการเป็นผู้เล่นหมากรุก ซึ่งตอนนี้เขาได้กลายเป็นประธานสหพันธ์หมากรุกแห่งราชอาณาจักรมาระยะหนึ่งแล้ว

43. ปัจจุบันสตีฟ เดวิส ได้จัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับหมากรุกและการทำอาหารออกมาบ้างแล้ว หลังจากที่เคยทำหนังสือเกี่ยวกับสนุกเกอร์ออกมาก่อนหน้านี้

รีสตาร์ท

(ตีพิมพ์ในนิตยสารคิวทอง ฉบับที่ 413)