ปิดตำนาน ตึ๊ก โคราช จอมคิวบิลเลียด

29 ก.ย. 59

เมื่อ เช้ามืดวันพฤหัสบดีที่ 29 ก.ย. ผมได้รับโทรศัพท์จาก ผู้สื่อข่าวกีฬาหนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” แจ้งมาว่า ปู่ตึ๊ก โคราช อดีตเจ้าของเหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์เมื่อปี 2545 ที่เกาหลีใต้ได้สิ้นใจอย่างสงบที่ย่านถนนรามคำแหง ซอย 50 โดยก่อนหน้านี้ นักข่าวกีฬาเดลินิวส์ ได้ติดตามการเจ็บป่วยของ ปู่ตึ๊ก โดยไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ในบั้นปลายชีวิตแล้วอดสลดหดหู่ เพราะไม่เหลือร่องรอยเจ้าของ เหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์ เนื่องจากร่างกายซูบผอมจนจำไม่ได้และไม่สามารถให้สัมภาษณ์เนื่องจาก ปู่ตึ๊ก อยู่ในช่วงวิกฤติ อาการเข้าขั้นโคม่า และจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงวิญญาณ ปู่ตึ๊ก โคราช ก็หลุดจากร่าง ปิดตำนาน จอมบิลเลียด ผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังให้ประเทศในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ที่เกาหลีใต้เมื่อปี 2545

ย้อนเวลากลับไป 70 ปี ดช. เรวัต กั้นฝากลาง หนุ่มผิวดำจากเมืองย่าโมวิ่งเข้าออกตามโต๊ะบิลเลียด คอยซื้อกาแฟ (ใส่กระป๋องนม) ซื้อบุหรี่ตราฆ้อง-รวงข้าว หรือระดับสูงหน่อย “พระจันทร์” ให้คนที่มาเล่นบิลเลียด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวก นักเลงหัวไม้ หรือพวกที่ไม่ยอมทำมาหากินเอาแต่เที่ยวเล่นอย่างเดียว และหลายคนที่เข้ามาในโต๊ะบิลเลียดเพื่อ นอนสูบฝิ่น โดยในยุคนั้นการสูบฝิ่นถือว่า ไม่ผิดกฎหมาย โต๊ะบิลเลียดทั่วไปจึงอยู่ในสภาพเดียวกัน จนเป็นเหตุให้ผู้ปกครอง ห้ามลูกหลานเหยียบเข้าโต๊ะบิลเลียดเด็ดขาด และจากสภาพสิ่งแวดล้อมทำให้ เด็กหน้าดำ ต้องมีสภาพตามสถานการณ์คือ ติดยาตั้งแต่อายุแค่ 10 ขวบ เนื่องจากต้องคอยต่อบุหรี่ให้คนที่มาเล่นบิลเลียด ทำอย่างนี้ทุกวี่วันเลยต้องติดยาโดยปริยาย แต่สิ่งที่ได้มาของ ดช. เรวัต กั้นฝากลาง คือมีฝีมือการเล่นบิลเลียดยอดเยี่ยมเรียกว่า เก่งตั้งแต่เด็ก โดยตระเวนเล่นในแถบภาคอิสานจนไม่มีใครกล้าต่อกร และในเวลาต่อมาก็หันมาเล่นสนุกเกอร์ เนื่องจากเกมบิลเลียดมีผู้นิยมไม่มากนัก การเล่นสนุกเกอร์ของ เรวัต ถือว่าอยู่ในขั้นสุดยอด และมาโด่งดังในช่วงปี 2500 โดยลงแข่งขันสนุกเกอร์ชิงแชมป์ประเทศไทย แต่ไปไม่ถึงแชมป์ มาพลาดท่าเสียที จ่าสุวรรณ เชียงใหม่ หลังจากนั้นสนุกเกอร์ก็หายจ้อยไม่มีแข่งขันจนกระทั่งปี 2513 เริ่มจัดชิงแชมป์ประเทศไทยอีกหนซึ่งครั้งนี้ เรวัต กั้นฝากลาง ประสบความสำเร็จ โดยเอาชนะเซียนดังจากนครสวรรค์ วิเชียร แสงทอง (เซียนกิ๊ด) หลังจากนั้นวงการสอยคิวก็เงียบเหงาไปอีกหน และมากำเนิดใหม่เมื่อปี 2525 ด้วยการฟื้นฟูการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทยอีกครั้งโดยคนต่างชาติชาวอังกฤษ มอริส เคอร์ ซึ่งเป็นคณะกรรมการอำนวยการระดับสูงของสโมสรราชกรีฑา หรือ สนามม้าปทุมวัน ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานหลายสิบปี จนขอโอนสัญชาติเป็นไทย

คุณมอริส เคอร์ จัดสนุกเกอร์ชิงแชมป์ประเทศไทยเมื่อปี 2525 ที่ราชตฤณมัยสโมสร (สนามม้านางเลิ้ง) จัดกลางถนนภายในบริเวนสนามม้า โดยการนำเต็นท์มาคลุมโดยรอบและติดตั้งเครื่องทำความเย็นให้แก่ ผู้เข้าชมและนักกีฬา

ศึกชิงแชมป์ประเทศไทยเมื่อปี 2525 มีนักสนุกเกอร์เข้าแข่งขันไม่ถึง 20 คนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น เซียนดังจากภูธร เดินทางมาแสดงฝีมือทั้ง เซียนกิ๊ด นครสวรรค์-เซียนเก๊า แปดริ้ว-เซียนตา ลพบุรี-เซียนรินทร์ ระยอง-เซียนกุ่ม หนองมน-เซียนดำ ศรีราชา-เซียนเอ็ง บ้านใหม่-เซียนเง็ก อ่างทอง-เซียนชัย ลำพูน-เซียนโก๊ะ อยุธยา-เซียนจั๊ว แปดริ้ว-เซียนหร่อง พระนาง-เซียนเป้า อินทรา-เซียนวัลลภ เสาชิงช้า ผลการแข่งขันปีนั้น เซียนกิ๊ด นครสวรรค์ เป็นแชมป์ด้วยการชนะ เซียนเป้า อินทรา ชนิดไข่ไม่แตก 8-0 เฟรมและจากนั้นมาสนุกเกอร์ชิงแชมป์ประเทศไทยก็จัดต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน จึงต้องขอบคุณ มอริส เคอร์ ที่ช่วยรื้อฟื้นการแข่งขันจนทำให้คนไทยได้เป็นแชมป์เอเชียเกือบ 20 คน และเป็นแชมป์สมัครเล่นโลก 7 คน เป็นแชมป์เยาวชนโลกชาย 3 คน หมู ปากน้ำ-แมน นครปฐม และ ไฟว์ นครนายก แถมยังมีแชมป์เยาวชนโลกประเภทหญิง ใบพัด ศรีราชา และ มิ้งค์ สระบุรี นอกจากนี้ยังมีแชมป์โลกอาวุโส (ซีเนียร์) อายุเกิน 40 ปี ถึง 3 ปีซ้อน คือ พิสิษฐ์ จันทร์ศรี (หยิก สำโรง)

 

สำหรับความเป็นมาของ ปู่ตึ๊ก โคราช ตั้งแต่มีการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย 2525 ปู่ตึ๊ก ไม่ประสบความสำเร็จได้แชมป์แม้แต่ครั้งเดียว แต่ไปได้ แชมป์คิวเพชร และแชมป์ 16 เซียน จากการจัดแข่งขันของ “คิวทอง” เมื่อปี 2527-2529 ซึ่งในช่วงนั้นฝีมือของ ปู่ตึ๊ก จัดจ้านมาก แต่มาพลาดท่าให้เด็กอายุ 14 ปี ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในการเดินสาย เอาชนะเซียนน้อยใหญ่มามากไม่เว้นแม้แต่ เซียนชัย ลำพูน และ เซียนตึ๊ก โคราช

และเมื่อสนุกเกอร์-บิลเลียด ถูกบรรจุเข้าซีเกมส์หนแรกเมื่อปี 2530 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งแน่นอนว่า วิเชียร แสงทอง กับ เซียนตึ๊ก โคราช ได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันประเภทบิลเลียด ส่วนประเภทสนุกเกอร์เป็น เซียนชัย ลำพูน-เซียนเป้า อินทรา-ดร เมืองชล และ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย โดยการแข่งขันหนนั้นสนุกเกอร์คว้ามาได้ 3 เหรียญทอง โดยได้จากประเภทเดี่ยวและทีม และบิลเลียดอีก 1 ทอง

เมื่อปี 2541 บิลเลียดสนุกเกอร์ถูกบรรจุเข้าแข่งขันในเอเชี่ยนเกมส์หนแรกเพราะ ไทย เป็นเจ้าภาพ แต่น่าเสียดายที่บิลเลียดและสนุกเกอร์พลาดเหรียญทอง ซึ่งสนุกเกอร์ตกเป็นของ ฮ่องกง ที่กำลังมี มาร์โก้ ฟู มาแรงในช่วงนั้นและเป็นขาลงของ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ส่วนบิลเลียดอินเดียที่มีแชมป์โลก กิ๊ด เศรษฐี-อโศก ชานดิลญ่า คว้าเหรียญทองกลับไป

ทีมบิลเลียดไทยมาดังระเบิดเถิดเทิงในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ 2545 ที่ประเทศเกาหลีใต้โดย รมย์ สุรินทร์ ทำได้ถึง 2 เหรียญทองจากประเภทเดี่ยวและประเภทคู่ ซึ่งจับคู่กับ ปู่ตึ๊ก โคราช โดยการเอาชนะแชมป์โลกอินเดียอย่างตื่นระทึก เพราะต้องสู้กันถึงเกมสุดท้าย และตัดสินด้วยไม้สุดท้าย ด้วยฝีมือ ปู่ตึ๊ก ท่ามกลางเสียเฮสนั่นในสนามแข่งขัน และมีการถ่ายทอดสดกลับเมืองไทยได้ชมกันทั้งประเทศโดยมี “คิวทอง” เป็นผู้บรรยายเกมแข่งขันนัดนั้นส่งผลให้ ทีวีพูล หรือทีวีรวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ได้พิจารณามอบรางวัลโทรทัศน์ทองคำ แก่ผู้บรรยายกีฬายอดเยี่ยมให้ นายศักดา รัตนสุบรรณ

ไม่น่าเชื่อว่า ปู่ตึ๊ก โคราช ทำได้ 1 เหรียญทองจากประเภทคู่ แต่ดังกว่า รมย์ สุรินทร์ ที่ได้ 2 เหรียญทองทั้ง เดี่ยว-และคู่ สาเหตุมาจากเมื่อวันเดินทางกลับถึงดอนเมือง เมียสาวชาวพม่า น้องนิว  อายุแค่ 18 ปีในขณะที่ ปู่ตึ๊ก โคราช อายุเกิน 70 กะรัต จึงเป็นที่มาของ ข่าวดัง ที่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทีวี.ทุกช่องต่างนำความ รักต่างวัย ไปตีพิมพ์และนำออกอากาศจนเป็นข่าวครึกโครม ซึ่งหลายคนต่างอิจฉา ปู่ตึ๊ก ที่ได้เมียเด็กคราวลูก

การได้เหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์ส่งผลให้ นักกีฬา มีรายได้พิเศษจากเงินกองทุนพัฒนากีฬาของชาติที่ อัดฉีด ให้เหรียญทอง 1 ล้านบาท โดยเงินที่ได้มา คิวทอง แนะให้ ปู่ตึ๊ก ซึ่งเปลี่ยนชื่อจาก เรวัต มาเป็น มงคล กั้นฝากลาง รีบไปจับจองซื้อตึกแถวข้าง สน.หัวหมาก ซึ่งช่วงนั้นราคาไม่แพง ไม่ถึงล้านบาท เพื่อเป็นที่พักอาศัยและชั้นล่างยังเปิดค้าขายได้ แต่น่าเสียดายที่ ปู่ตึ๊ก โคราช ยังมีกิเลสและไม่อาจเลิกเล่นพนัน ดังนั้นเงินล้านที่ได้มาจึงหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว ต้องมีสภาพเหมือนเดิมคือ เดินสายไปตามโต๊ะต่างๆ เพื่อหารายได้ไปวันๆ ซึ่งต่อมา คิวทอง แนะให้ไปบวชที่วัดบ้านไร่ของ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ซึ่งถือว่า ปู่ตึ๊ก ใกล้ชิดกับหลวงพ่อคูณเคยนำพา คณะทีมสอยคิวเข้าขอพรจาก หลวงพ่อคูณ ก่อนที่ทัพสอยคิวจะเดินทางไปแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ซึ่งหลวงพ่อก็เรียกปู่ตึ๊กแบบติดปากว่า “ไอ้หน้าดำ” และหาก ปู่ตึ๊ก บวชเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคูณในช่วงนั้น ก็น่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน แต่เมื่อยังลุ่มหลงอบายมุขและไม่เลิกสูบบุหรี่ แถมยังดื่มเบียร์ต่อเนื่อง ทำให้สภาพร่างกายแย่ลงดังนั้น สารพัดโรคจึงรุมเร้าทั้ง โรคถุงลมโป่งพอง-โรคความดัน-โรคหัวใจ พาเหรดมาเป็นชุดและล่าสุดเกิดหกล้มหน้าบ้านเมื่อ 3 เดือนก่อน จากนั้นลุกเดินไม่ได้เพราะเส้นยึด ต้องนอนซมตลอดและเกิด แผลติดเชื้อที่เท้าจนหมดทางเยียวยา ก่อนที่วิญญาณปู่ตึ๊ก โคราช จะหลุดจากร่างเมื่อเวลา 06.00 น. เช้าวันที่ 29 ก.ย. โดยลูกสาวจันจิรา นำศพตั้งสวดพระอภิธรรม ณ วัดพิชัย ศาลา 1 แยกนิด้า สุขาภิบาล

ปู่ตึ๊ก โคราช อายุตามบัตรประชาชนคือ 80 ปีแต่เจ้าตัวยืนยันว่าโกงอายุตั้งแต่แรก ถ้าเอาตามความเป็นจริง ปู่ตึ๊ก อายุ 86 ปี มีภรรยามาหลายต่อหลายคนและหนึ่งนั้นคือ นักสนุกเกอร์สาวฝีมือดีเมื่อ 30 ปีก่อนในนาม โอชิน โคราช มีลูกเต้าด้วยกันโตเป็นหนุ่มแล้ว ที่นำเอาชีวประวัติส่วนหนึ่งของ นักบิลเลียดผู้โด่งดังมาเล่าขานเพื่อเป็น ตำนาน ให้ชนรุ่นหลังได้รู้ความเป็นมาของนายมงคล กั้นฝากลาง หรือเซียนดัง ตึ๊ก โคราช ถึงชีวิตการเป็นนักสู้อันยาวนาน โดยก่อนหน้านั้นทำหน้าที่เป็น เทรนเนอร์วงการม้าแข่ง จนมีชื่อกระฉ่อนวงการ และบัดนี้ ปู่ตึ๊ก โคราช ก็สบายไปแล้ว ทิ้งตำนาน เซียนดังสอยคิว ให้ชนรุ่นหลังจดจำไปอีกนานแสนนาน จึงขอให้ดวงวิญญาณสู่สุคติ

หลับให้สบายเถอะ มงคล กั้นฝากลาง

 

“คิวทอง”

29 ก.ย. 2559