ช่วงนั้นต้องยอมรับว่า วงการสอยคิวโด่งดังชนิดที่ไม่มีใครไม่รู้จักสนุกเกอร์ และหากเอ่ยถึงสนุกเกอร์ทุกคนก็ต้องยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่าวงการนี้ดังได้เพราะ ต๋อง ศิษยฉ่อย ผู้จุดประกายให้วงการสนุกเกอร์ไทยรวมถึงทั่วทั้งเอเชียตื่นตัวจนเกิดการแข่งขันสนุกเกอร์ชิงแชมป์แห่งเอเชีย หนแรกโดยการริเริ่มของ มอริส เคอร์ เมื่อปี 2527 โดย ศักดิ์ชัย ซิมงาม เป็นแชมป์เอเชียคนแรกแต่ปี 2528 เสียให้ แกรี่ ก๊อก (ฮ่องกง) พอปี 2529 ต๋อง ศิษย์ฉ่อย แย่งกลับคืนในขณะที่อายุเพียง 14 ปีและเป็นชัยชนะแบบขาดลอย 8-1 เฟรมพอปี 2530 อุดร ไข่มุกค์ แย่งแชมป์ไปจาก ต๋อง ในการแข่งขันที่มาเลเซีย ต๋อง กลับมาครองแชมป์เอเชียอีกครั้งในปี 2531 ด้วยการชนะ เคนนี่ ก๊อก (ฮ่องกง) หลังจาก ต๋อง ขึ้นไปเล่นอาชีพแชมป์เอเชีย ก็มีการเปลี่ยนมือเป็น ยาชิน เมอร์ช้านส์ (อินเดีย) ที่เอาชนะ อุดร ไข่มุกค์ ในปี 2532 และปี 2533 ก็ถึงคิวมาเลเซียโดย แซมชอง นักสนุกเกอร์หนุ่มผู้กำลังมาแรง ไล่ต้อน สแตนลี่ เหลียง (ฮ่องกง) ชนะขาดลอย 8-1 เฟรมจากนั้นแชมป์เอเชียก็กลับมาอยู่กับไทยโดย ชูชาติ ไตรรัตนประดิษฐ์ (ต่าย พิจิตร) ชนะ ยาชิน เมอร์ช้านส์ (อินเดีย) ในปี 2536 ไทยเข้าชิงกันเองโดย ประพฤติ ชัยธนสกุล (รมย์ สุรินทร์) ชนะ ชูชาติ ไตรรัตนประดิษฐ์ ในการแข่งขันที่จีน และในปีถัดมา ออย ชิน เคย์ ดาวรุ่งมาเลเซียก็แย่งแชมป์เอเชียด้วยการชนะ สมพร กันธวัง (เบิ้ม เชียงใหม่) ในการแข่งขันที่บังกลาเทศ จากนั้นไทยก็ครองเจ้าเอเชียติดต่อ 3 ปีรวด 2538 อนุรัฐ วงษ์จันทร์ (เต่า หลังสวน) ชนะ เทพไชย วรไตรภพ 2539 อนันต์ เตรนานนท์ ชนะ อำนวยพร โชติพงษ์ (โอ ระยอง) 2540 อนุรัฐ วงษ์จันทร์ คว้าแชมป์สมัยที่ 2 ชนะ มาร์ลอน มานาโล (ฟิลิปปินส์) ในปี 2541 โมฮัมหมัด ยูซุป นักสอยคิวปากีสถานครองแชมป์เอเชียด้วยการชนะ ภิรมย์ ฤทธิ์ประสงค์ (รมย์ สระบุรี) ไปแบบฉียดฉิว 9-8 เฟรมในการดวลคิวที่ปากีสถานและในปี 2542 นพดล นภจร (หนู ดาวดึงส์) ได้แชมป์เอเชียต้อน แซมชอง (มาเลเซีย) 8-4 เฟรมหลังจากเคยได้แชมป์โลกเมื่อปี 2534
สรุป 16 ครั้งในการแข่งขันชิงชนะเลิศแห่งเอเชียปรากฏว่า ไทย คว้าแชมป์ถึง 11 ครั้งโดยเข้าชิงกันเองถึง 6 ครั้งสรุปแล้ว 16 ปีที่มีการแข่งขัน ไทย สามารถเข้าชิงชนะเลิศทุกครั้ง จนหลายชาติขยาดถึงขนาดขอร้อง สินธุ พูนศิริวงศ์ ให้ส่งมือรองๆมาแข่งบ้างเพื่อให้หลายชาติมีโอกาสคว้าแชมป์ แต่ไม่น่าเชื่อเวลาผ่านไปไม่นาน จีน ผงาดเป็นเจ้าเอเชียและเป็นเจ้าโลกในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ จีน ส่งนักกีฬาแข่งขันชิงแชมป์เอเชียตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งถือว่า จีน อยู่สายไหนคือ ตัวแถม ซึ่งทุกชาติยิ้มหน้าบานแต่หลังจากกำเนิด ดิง จุนฮุย เมื่อปี 2545 แชมป์เอเชียก็ตกอยู่กับจีนเป็นส่วนใหญ่โดยช่วงนั้น จิ้นหลง กำลังมาแรง
สำหรับ เจมส์วัฒนา หรือ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย หลังหมดโศกเลิกเศร้าจากการจากไปของบุพการีก็หันมาฝึกซ้อมจริงจัง จนอันดับโลกผงาดขึ้นไปอยู่หมายเลข 3 ซึ่งช่วงนั้นเป็นรองเพียง 2 คนคือ สตีฟ เดวิส ครองแชมป์ต่อเนื่องแล้วต่อด้วย สตีเฟ่น เฮนดรี้ซึ่งในเวลาต่อมา เฮนดรี้ ก็แย่งมือ 1 และสร้างสถิติแชมป์โลก 7 สมัยเหนือ สตีฟ เดวิส จนถึงปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถลบสถิติ เฮนดรี้
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปอายุของ ต๋อง เริ่มมากขึ้นฝีมือก็เริ่มลดน้อยถอยลงซึ่งถือเป็น สัจธรรม ที่ทุกคนไม่อาจฝืนสังขารและหลีกเลี่ยง จากอันดับ 3 ค่อยๆหล่นลงเรื่อยจนกระทั่งหลุดทำเนียบ มืออาชีพ ปัจจุบันยืนหยัดเล่นอาชีพเพราะได้เป็นมือ ไวล์การ์ด ซี่งเป็นการสนับสนุนของสมาคมกีฬาบิลเลียดซึ่งมีความผูกพันกับประธานสนุกเกอร์โลก แต่ในฤดูกาลหน้าหาก ต๋อง ทำอันดับโลกต่ำกว่า 64 ต้องถูกเตะออกไม่มีสิทธิ์ได้เล่นอาชีพอีกต่อไป จึงได้แต่เอาใจช่วยในฤดูกาลนี้ต้องลุ้น ต๋อง ให้ทำอันดับต่ำกว่า 64 ซึ่งขณะนี้ต๋องอยู่ในช่วงอันตรายเพราะล่าสุดอันดับยังอยู่ 59 ถือว่าเฉียดฉิวกับการได้เล่นอาชีพในฤดูกาลหน้า
ฉบับนี้เกริ่นเรื่องราวของอดีตแชมป์สมัครเล่นโลกคนแรกพอสังเขป ฉบับต่อไปถึงคิวแชมป์โลกคนที่ 2 นพดล นภจร หรือ หนู ดาวดึงส์ ผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้วงการสอยคิวไทยโดยการปะทะกับ ต๋อง ในขณะที่ หนูอายุ 13 ปีและ ต๋อง อายุ 11 ปีซึ่งการพิสูจน์ฝีมือเมื่อ 32 ปีสร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากใครที่ได้ชมเด็กคู่นี้แสดงฝีมือต่างติดตาตรึงใจไปตามๆกัน ฉบับหน้าพบ หนู ดาวดึงส์ แชมป์สมัครเล่นโลก คนที่ 2
"คิวทอง"