มารู้จัก "รอนนี่" ในมุมมองของเขาเองกัน..

15 ก.พ. 59

จบไปแล้วสำหรับการแข่งขันสนุกเกอร์ รายการ Dafabet Masters 2016 ซึ่งแฟนสนุกเกอร์ทั่วโลก รวมทั้งในเมืองไทยต่างได้ชมการกลับมาอีกครั้งของ “The Rocket” Ronnie O’Sullivan หลังจากที่หายหน้าหายตาจากการแข่งขันไปตั้งแต่จบการแข่งขันชิงแชมป์โลกเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา โดย Ronnie สามารถคว้าแชมป์เดอะมาสเตอร์ส สมัยที่ 6 ให้กับตัวเองไปอย่างไร้ข้อกังขา ด้วยการเอาชนะ Barry Hawkins ในรอบชิงชนะเลิศอย่างขาดลอยถึง 10-1 เฟรม

ก็คงไม่ต้องอารัมภบทอะไรกันให้ยืดยาว ถึงความสามารถของนักสอยคิวอัจฉริยะ ที่ สมขวัญ เพ็ชรเสนา แห่ง สยามกีฬา ได้ตั้งฉายาไว้ให้เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ว่า “ไอ้หนูมหัศจรรย์” ซึ่งแม้เวลาจะผ่านมากว่า 20 ปีในการเล่นอาชีพ เขาก็ยังพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ได้จนทุกวันนี้ ว่าความมหัศจรรย์ของเขานั้น  มันสุดยอดจนเกินคำบรรยายไปขนาดไหน

วันนี้ ผมจึงขอพาท่านไปรู้จักกับตัวตนและประวัติความเป็นมาของนักสอยคิวอัจฉริยะผู้นี้ ว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ได้นั้น เขาต้องผ่านมรสุมชีวิตอะไรมาบ้าง ก็ต้องขอขอบคุณผู้บริหารของ Hi End Snooker Club ที่ได้มอบหนังสือชีวประวัติของ Ronnie ที่เขาเขียนขึ้นเอง โดยใช้ชื่อหนังสือว่า RUNNING – Ronnie O’Sullivan THE AUTOBIOGRAPHY มาให้เพื่อเป็นข้อมูล เป็นหนังสือที่มีความยาวเกือบ 300 หน้า ซึ่ง Ronnie ได้บรรจงเขียนขึ้นมาเพื่อให้ผู้สนใจได้อ่านและได้รู้จักตัวตนอันแท้จริงของเขาให้มากขึ้น

Ronnie มีชื่อเต็มๆ ว่า Ronald Antonio O’Sullivan เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1975 เป็นนักสนุกเกอร์ที่ได้รับการยอมรับจากแฟนสนุกเกอร์ รวมทั้งนักสนุกเกอร์อาชีพทั่วโลก ว่าเป็นผู้ที่เล่นสนุกเกอร์ได้เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์คนหนึ่งของโลก เขาสามารถทำเซ็นจูรี่เบรกครั้งแรกได้ตั้งแต่อายุเพียง 10 ขวบ และแม็กซิมั่มเบรกครั้งแรก ตั้งแต่อายุได้เพียง 15 ปี เข้าเล่นอาชีพปีแรกใน ค.ศ. 1992 เมื่อมีอายุได้เพียง 16 ปี และคว้าแชมป์รายการสะสมคะแนนได้ภายในเวลาเพียง 1 ปี ในปี ค.ศ. 1993 ในรายการ UK Championship ด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น ซึ่งมาถึงวันนี้ เขาคว้าตำแหน่งแชมป์รายการสะสมคะแนนไปแล้วรวมทั้งสิ้นถึง 27 รายการ รายการสะสมคะแนนย่อยอีก 3 รายการ และรายการที่ไม่มีคะแนนสะสมอีก ถึง 27 รายการเช่นกัน รวมทั้งการเป็นแชมป์โลกถึง 5 ครั้ง แชมป์ยูเคฯ 5 ครั้ง และ มาสเตอร์ส อีก 6 ครั้งเมื่อจบการแข่งขันในเดือนมกราคมที่เพิ่งผ่านมา พร้อมทั้งทำเซ็นจูรี่เบรก มากที่สุดถึง 807 ครั้ง และ แม็กซิมั่มเบรกในการแข่งขันอีกถึง 13 ครั้งด้วย

แต่กว่า Ronnie จะก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ เราคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาตลอด ในเรื่องปัญหาส่วนตัว รวมทั้งอุปนิสัยต่างๆ ของเขา ที่ค่อนข้างจะยุ่งเหยิงมาตั้งแต่เข้าวงการสนุกเกอร์อาชีพโลก การเป็นนักสนุกเกอร์ที่ใจร้อน ไม่ค่อยมีความอดทน ควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ค่อยได้ในระหว่างการแข่งขัน ตั้งแต่บิดาอันเป็นที่รักและใกล้ชิดกับเขามาก ต้องถูกจับกุมและถูกพิพากษาให้จำคุกในข้อหาฆาตกรรม ปัญหาครอบครัวที่ต้องหย่าร้างกับภรรยา โดยหลายๆ คนให้ความเห็นว่า หากเขาไม่ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมายขนาดนี้ เขาคงจะประสบความสำเร็จในการเป็นนักสนุกเกอร์อาชีพโลกมากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้อีกไม่รู้เท่าไหร่

ตั้งแต่เป็นเด็ก Ronnie เติบโตมากับบิดา ที่เป็นผู้ฝึกสอนให้เขาออกกำลังกายด้วยการวิ่งทุกวัน ตั้งแต่เขาอายุเพียง 12 ปี ซึ่งเขาเกลียดมากในช่วงแรก เขาถูกฝึกให้นอนแต่หัวค่ำ เพื่อจะได้ตื่นแต่เช้า และวิ่งให้ได้วันละ 3 ไมล์ เป็นอย่างน้อย เป็นการฝึกให้เขาเป็นคนที่ต้องมีความรับผิดชอบ รู้จักดูแลตนเองให้ร่างกายแข็งแรงและฟิตอยู่เสมอ ในวัยที่กำลังเจริญเติบโต

Ronnie โตมากับการออกวิ่งเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้มีความพร้อมในการฝึกซ้อมสนุกเกอร์ ที่บิดาของเขาเห็นแล้วว่า เขามีพรสวรรค์ในการเล่นสนุกเกอร์มาตั้งแต่เล็ก จึงปูทางให้เขามาตั้งแต่ต้น ด้วยในสมัยนั้น นักกีฬาสนุกเกอร์ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยใส่ใจดูแลในเรื่องการฟิตร่างกายเพื่อการแข่งขันกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เขาจึงได้เริ่มมาอย่างถูกต้อง และจากการที่ถูกจับให้ตื่นมาวิ่งทุกเช้าเป็นประจำ ทำให้เขากลายเป็นคนที่รักการวิ่ง นอกเหนือจากการวิ่งเพื่อออกกำลังกายแล้ว เขายังใช้การวิ่งเพื่อผ่อนคลายสมองไปด้วย ซึ่งเขาก็ยังคงวิ่งมาโดยตลอด แม้จะมีห่างหายไปบ้างเมื่ออายุมากขึ้น แต่ก็ไม่เคยเลิกวิ่งมาจนทุกวันนี้ เรียกได้ว่า การวิ่งนั้น ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขามาโดยตลอด นี่คือเหตุผลที่เราไม่เคยเห็นเขาอ้วนลงพุงเลยแม้แต่น้อย แม้อายุจะล่วงเลยเข้ามาถึงหลักสี่แล้วก็ตาม

Ronnie ประสบความสำเร็จในการแข่งขันมาตั้งแต่อายุยังน้อย มีสไตล์การเล่นที่เร้าใจผู้ชม จึงเป็นนักสนุกเกอร์ที่มีแฟนๆ ให้ความสนใจมากที่สุดคนหนึ่งของวงการมาโดยตลอด โดยมีบิดาเป็นผู้ดูแล ยืนอยู่เคียงข้างเขา พาเขาไปตระเวนแข่งขันในรายการต่างๆ เขาได้พบกับความรัก แต่งงานกับภรรยาชื่อ “Jo” และมีบุตรสาวคนแรก “Lily” ในขณะที่เขามีอายุเพียง 20 ปี ชีวิตของเขากำลังไปได้สวย ในปี ค.ศ. 2008 เขาคว้าแชมป์ทั้งรายการ UK Championship และ World Championship เขาทำ Maximum Break ได้ถึง 3 ครั้งในฤดูกาลนั้น และบุตรชายคนที่ 2 “Little Ronnie” ก็ตามมาอีกในเวลาไม่นานนัก ทำให้เขาเริ่มมีปัญหากับ Jo ผู้เป็นภรรยา เนื่องจากเขายังรักที่จะออกไปวิ่งทุกเช้า กลับมาพักผ่อนแล้วก็ไปซ้อมสนุกเกอร์ต่อ โดยไม่ได้ช่วยภรรยาดูแลเลี้ยงลูกๆ เลย ทำให้ชีวิตสมรสของเขาต้องถึงกับพินาศลงในเวลาอันสั้น เพราะภรรยาเขาเห็นว่า เขาเห็นแก่ตัวมากเกินไป ปล่อยให้เธอทำหน้าที่ดูแลลูกๆ แต่เพียงผู้เดียว

Ronnie ต้องมาประสบกับมรสุมร้ายในชีวิต เมื่อบิดาของเขาถูกจับกุมและพิพากษาให้ต้องโดนจำคุก ซ้ำมารดาของเขาก็โดนจับกุมและต้องโทษจำคุกไปด้วย รวมทั้งปัญหาที่เขาถูกภรรยาฟ้องหย่า ต้องปรึกษาทนายเรื่องการเลี้ยงดูบุตร ทำให้เขากลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิดง่าย ไม่อยากพบปะผู้คน มักจะเก็บตัวและอยู่กับตนเอง เขาหันเข้าหายาเสพติดเพื่อเป็นทางออก ซึ่งแน่นอนมันทำให้เขาแย่ลงไปอีก และหลายครั้ง ที่เขาเดินออกจากการแข่งขันทั้งๆ ที่การแข่งขันยังไม่จบ แม้กระทั่งในการแข่งขันกับ Stephen Hendry เขาเดินเข้าไปจับมือกับ Hendry ทั้งๆ ที่เกมยังไม่จบ ซึ่ง Hendry เองก็ตกใจพอสมควร เพราะเขามีความรู้สึกว่า เขาพอแล้ว สมองเขาไม่อยู่กับเกม เขาไม่สนุกกับการแข่งขัน เขาอยากกลับบ้าน เขาจึงเดินไปจับมือ แล้วเดินออกจากสนามแข่งขันทันที เขาคิดถึงแต่ลูก อยากเจอหน้าลูก อยากมีเวลากับครอบครัวให้มากขึ้น ทั้งๆ ที่ก่อนจะมีปัญหา เขาแทบจะไม่ได้ให้เวลากับครอบครัวเลย

ผลการตัดสินของศาล สั่งให้เขาต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูภรรยาและรับผิดชอบค่าดูแลบุตรเป็นจำนวนเงินไม่น้อย โดยพิจารณาจากรายได้จากการแข่งขันของเขาในปี ค.ศ. 2008 ซึ่งเป็นปีที่เขาทำผลงานได้ดี นั่นหมายความว่า ถ้าในปีต่อมาเขาทำผลงานไม่ได้ดีอย่างนั้น เขาเดือดร้อนแน่ๆ เพราะเงินรางวัลที่ได้ก็จะไม่เพียงพอ แค่ค่าจ้างทนายความอย่างเดียวเขาก็ต้องจ่ายไปกว่า 200,000 ปอนด์แล้ว ทำให้เขาทั้งโกรธและเสียดาย แทนที่จะเอาเงินจำนวนนี้ไปให้ครอบครัว แต่ต้องกลับเอาไปจ่ายเป็นค่าจ้างทนาย เขาเครียดหนักขึ้น ไม่มีสมาธิกับการแข่งขัน เล่นลูกที่ไม่ควรเล่น ไม่อยากแม้กระทั่งจะจับคิวขึ้นมาฝึกซ้อม ดีว่า ผู้จัดการส่วนตัวของเขา (Django Fung) พยายามหารายได้ให้กับเขาจากการปรากฏตัวตามที่ต่างๆ รวมทั้งการลงแข่งขัน และเรียกค่าโชว์ตัว (Appearance fee) นอกเหนือจากเงินรางวัล โดยเฉพาะที่ประเทศจีน ซึ่งเขาได้รับการต้อนรับอย่างดีมาก จนเขามีกำลังใจที่จะกลับมาสู้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อลูกๆ

นอกเหนือจากนั้น Django ยังพาเขาไปพบกับนักจิตวิทยาด้านกีฬา (Sport Psychiatrist) ชื่อ Dr.Steve Peters ตอนแรก เขารู้สึกไม่อยากไปเลยเพราะเสียดายเงิน แต่เมื่อผู้จัดการส่วนตัวยืนยันว่า หมอผู้นี้จะช่วยเขาได้ และเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือนักกีฬาอาชีพดังๆ ของอังกฤษมาแล้วหลายคน เขาจึงลองไปพบ และนั่นคือจุดเปลี่ยน ที่ทำให้เขากลับมาเป็นคนใหม่จริงๆ

เมื่อเขาเล่าอาการและปัญหาให้คุณหมอฟัง หมอบอกกับเขาว่า อาการของเขารุนแรงมาก ด้วยสภาวะที่เขามีความเป็นอัจฉริยะทางกีฬาตัวฉกาจ เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมามากมาย เป็นที่นิยมชมชอบของแฟนสนุกเกอร์ทั่วโลก เมื่อต้องมาประสบกับมรสุมและปัญหาครอบครัวสาหัสสากรรจ์แบบนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องมาพบหมอเป็นประจำ เพื่อทำการรักษาอย่างเร่งด่วน

คุณหมอบอกเขาว่า ในสมองของคนเรา จะมีด้านมืดและด้านสว่างหลบอยู่ภายใน (Human and Chimp) ในขณะที่ด้านสว่าง (Human) สั่งให้ทำให้สิ่งที่ถูก ด้านมืด (Chimp) ก็จะสั่งให้เราทำในทางตรงกันข้าม ทุกครั้งที่เขาเริ่มไม่สนุกกับการแข่งขัน เจ้าด้านมืด หรือ Chimp นี้ก็จะคอยยุให้เขาเลิกๆๆ ยูไม่ต้องการอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว จะคอยดึงสมาธิของเขาให้ไขว้เขว หมดความอดทน และยุให้เขาทำในสิ่งที่เป็นลบ และมักจะมีพลังในการจูงใจมากกว่าด้านสว่าง (Human) เสียด้วย

อย่างไรก็ตาม คุณหมอบอกว่า เจ้า Chimp ตัวนี้ จะตัดทิ้งไปเสียเลยก็ไม่ได้ เพราะถ้าคนเราคิดแต่ด้านบวก หรือด้านสว่างแต่อย่างเดียว ร่างกายและสมองก็จะขาดความสมดุล Ronnie ฟังแล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะเขาเคยได้รับการฝึกสอนจาก Ray Reardon อดีตแชมป์โลก ที่พยายามฝึกให้เขาใจเย็นลง ลดการรุก และเล่น safety มากขึ้น ให้คิดบวกเข้าไว้ตลอด ซึ่งทำให้เขาอึดอัดและขาดความมั่นใจไปเลย Dr.Steve บอกว่า วิธีที่ถูกต้องที่สุดคือต้องให้ทั้ง Human และ Chimp ปรองดองกัน และทำงานร่วมกันให้ได้

หลังจากนั้น Ronnie ก็เข้าพบ Dr.Steve อย่างต่อเนื่อง เพื่อบำบัดอาการด้านความคิดและอารมณ์ตลอดทั้งปี 2012 เขายอมรับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาสามารถควบคุมสติอารมณ์เอาไว้ได้ เขาไม่รู้สึกหลุดโลก หรือยอมแพ้ความรู้สึกของตัวเองอย่างง่ายๆ เหมือนแต่ก่อน Dr.Steve จะไปชมการแข่งขันของเขาที่สนามในช่วงแรกๆ ที่สามารถไปได้ และเมื่อเขามีปัญหาด้านอารมณ์และความรู้สึกขึ้นมาเมื่อไร Dr.Steve จะรีบเข้าไปคุยกับเขาระหว่างพักเบรก เพื่อให้คำแนะนำและปรับ Human and Chimp ให้กลับมาสมดุลกันทันที ซึ่งเขายอมรับเลยว่า การที่เขาได้พบกับหมอผู้นี้ ทำให้เขาสามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกได้อย่างมีประสิทธิผลทีเดียว

เรื่องราวชีวิตของ Ronnie O’Sullivan จากการเขียนหนังสือของเขาในเล่ม RUNNING นี้ยังมีอีกมาก ไม่สามารถนำมาเล่าให้ได้หมด หากท่านผู้อ่านอยากติดตามต่อ ผมแนะนำให้ไปสมัครสมาชิกที่ Hi End Snooker Club ซึ่งทางสโมสร จะมอบหนังสือเล่มนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ที่สมัครสมาชิกฟรีทันที

รับรองว่า แฟน Ronnie พันธุ์แท้ ถ้าได้อ่านแล้วจะวางไม่ลงกันเลยเชียวครับ...

 

ทวิทัฐ วรินทราคม