ฝรั่งเดินสาย

22 ก.พ. 60

เดินสาย นี่คงเป็นสำนวนที่เอามาจากวงดนตรีลูกทุ่ง ที่ว่างเว้นจากฤดูฝน ก็จะยกวงตระเวนไปแสดงตามต่างจังหวัด ปิดวิกบ้าง งานวัดบ้าง

ที่เรียกว่าปิดวิก ก็เพราะว่าโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัดจะเรียกว่าวิกหนัง ฉายหนังตามปกติ แต่มีบางวัน บางช่วง ที่มีวงดนตรีมาเช่าทำการแสดง ก็ต้องปิดวิก คือปิดวิกที่เคยฉายหนัง แต่เปิดแสดงดนตรีลูกทุ่ง

ส่วนพวกลิเกมักเรียกว่า “เปิดโรง” เพราะไปตั้งโรงตามตลาดบ้าง ตามวัดบ้าง หรือบางแห่งอาจเล่นในโรงหนังผูกขาดยาวเป็นเดือนก็มี หรือในสมัยโน้น ก็มีโรงลิเกโดยเฉพาะในบางจังหวัด

นักสนุกเกอร์ในยุคก่อนๆ จึงมีการ “เดินสาย” เหมือนพวกวงดนตรีลูกทุ่งเหมือนกัน แต่ไม่ได้เดินสายไปแสดง กลับเดินสายไปเล่นสนุกเกอร์ตามโต๊ะสนุกเกอร์ต่างจังหวัด ซึ่งเป็นการไปหารายได้สบายๆ อย่างน้อยก็ได้เงินก้อนหนึ่งกลับบ้าน

เพราะนักสนุกเกอร์ก็เหมือนนักมวย คนที่มีเซนส์จะมองออกว่า ฝีมือใครเหนือกว่าใคร คนอื่นๆ มองเผินๆ เหมือนว่าเก่งทั้งคู่ เจอกันก็ไม่รู้ว่าใครจะชนะ แต่ชั้นเซียนจริงๆ จะมองออกว่าเจอกันแล้ว คนไหนน่าจะได้เปรียบกว่ากัน

โต๊ะสนุกเกอร์ทุกแห่ง ย่อมมีมือดี หรือที่เรียกว่าเซียน อยู่ประจำโต๊ะ มีใครแปลกหน้าเข้ามา ก็จะมีคนไปตามมาเล่นด้วย ดังนั้น นายทุนและนักเดินสายที่ฉลาด เลือกเล็งเอาสถานที่ที่มือดีประจำโต๊ะนั้นฝีมือด้อยกว่า

หรือไม่ก็ใช้เทียบฝีมือกัน จากพรรคพวกคนรู้จักเคยเดินสายไปเล่นก่อนหน้านั้นแล้ว

เป็นเช่นนี้แล้ว ที่ใดมีนักสนุกเกอร์ที่เก่งกว่า ก็ไม่แวะเวียนเดินสายไป โต๊ะสนุกเกอร์ทั่วประเทศมีหลายร้อยแห่ง ก็หาที่ที่พอจะเป็นเหยื่อให้ได้ เซียนสนุกเกอร์เดินสายจึงไม่ค่อยจะพลาด ไม่กลับบ้านมือเปล่า ไม่ทำให้นายทุนลงเหว

อีกอย่างหนึ่ง ในสมัยโน้นนักสนุกเกอร์มักไม่รู้จักหน้าค่าตากัน ที่เก่งจริงๆ ก็จะได้ยินแค่ชื่อเสียงเท่านั้น การเดินสายไปเล่นต่างถิ่นจึงหาคู่เล่นได้ง่าย และไม่ค่อยจะพลาด

นอกเสียจาก เซียนสนุกเกอร์คนนั้นใจไม่ดี ปวดกระเส่า หรือเจอเจ้าถิ่นพูดจาข่มขู่ หรือบรรยากาศรอบโต๊ะเหมือนไม่ปลอดภัย มือไม้ก็อ่อนแรงไปหมด เหลี่ยมคูก็ผิดไป น้ำหนักก็ไม่ได้ที่

สาวคิวไปก็คิดไปว่า จะเอาเงิน หรือเอาชีวิตรอดดี

ฝรั่งไม่น่าจะมีการเดินสายแบบคนไทย เพราะเขาถือว่าสนุกเกอร์หนักไปทางกีฬา และอาชีพ มากกว่าเป็นการพนัน จึงไม่ได้เล่นแล้วเดิมพันกันโฉ่งฉ่างเป็นหลักเหมือนคนไทย นอกจากนั้นแล้ว สภาพบรรยากาศในวงการสนุกเกอร์ก็ต่างจากของเรา

หากที่มีชอบเล่นพนันกัน มักจะเป็นโต๊ะพูลเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีตามปั๊มน้ำมัน หรือศูนย์การค้า หรือตามผับ ตามบาร์ หรือร้านขายเหล้า

เคยมีฝรั่งรัสเซียเดินสายเล่นพูลในเมืองไทย

ความจริงไอ้ฝรั่งคนนี้ก็ไม่ได้มีเจตนาเดินสายเล่นพนันพูลประการใด แต่พื้นฐานเดิมคงมีฝีมือในเรื่องพรรค์นี้ พอมาเปิดผับขายเหล้าที่หัวหิน ก็เอาเวลาว่างแวะเข้าโต๊ะสนุกเกอร์

ใหม่ๆ ก็นั่งดู พอหลายวันเข้าก็มีคนไทยไปท้าเล่นสนุกเกอร์ด้วย ก็มีชนะบ้างเสียบ้าง เรียกว่าทุกวันนักสนุกเกอร์เจ้าถิ่นต้องมานั่งเรียงคิวรอเลย พอฝรั่งรัสเซียเข้าโต๊ะก็ท้าทาย และขึ้นอยู่กับว่าวันนี้ฝรั่งมันจะเลือกเล่นกับใคร

เล่นกันเป็นเดือน จนเปลี่ยนมาเล่นพูล

หะแรก นักสนุกเกอร์เจ้าถิ่นคิดว่า ตนเองคงไม่ถนัดพูล เลยเล่นสู้ฝรั่งมันไม่ได้ พอขึ้นเดิมพันเท่าไรฝรั่งก็สู้ แต่ยิ่งเล่นนานวันไป เดิมพันสูงขึ้นไป เปลี่ยนมือที่ดีกว่ามาเล่นด้วย

ก็ยังถูกฝรั่งรัสเซียมันคว้าเดิมพันออกไปทุกที จนหนหลังๆ ไม่มีใครจะสู้ด้วย ส่วนเซียนประจำโต๊ะนั้น ฝรั่งรัสเซียมันฉลาด ไม่ยอมปะมือด้วย มันก็เลยกินมือระดับล่างไปเรื่อยๆ ทุกครั้ง

ไอ้ฝรั่งรัสเซียคนนี้คงไม่ธรรมดา ไม่งั้นคงไม่มีบารมีพอที่จะมาเปิดผับขายเหล้าในเมืองไทยได้ แถมเวลาเล่นมันไม่ยอมเสียเปรียบอะไร ต้องประกบเงินเดิมพันไว้ก่อนเปิดทุกเกม บางครั้ง มีคนไทยไปตุกติก เอาเปรียบ เหมือนจะโกง มันก็ไม่ตกอกตกใจ หรือกลัวเกรง

มันขอเงินเดิมพันที่ประกบไว้คืนกลางครัน ไม่สนใจว่าใครจะกำลังเป็นต่อหรือเป็นรอง และออกจากโต๊ะไปอย่างไม่แยแส

มีฝรั่งเดินสายอีกคนหนึ่งที่อยากจะพูดถึง ตอนนั้น เพิ่งจะมีฝรั่งมาแข่งขันสนุกเกอร์ระดับโลกที่เมืองไทยแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ก็มีนักสนุกเกอร์มือดีของฝรั่งมาพัทยา

ไอ้ฝรั่งไว้ผมหน้าม้าเข้าไปเล่นกับเพื่อนๆ เล่นไปดื่มเบียร์ไป เห็นมีพนันกันเองด้วย หมดเกมก็จ่ายกันสดๆ ก็มีคนไทยที่นั่งดูเห็นเงินสดเป็นปึกๆ ที่ควักออกมา ก็คิดว่าฝรั่งมีสตางค์คงหลอกกินง่าย พอจังหวะเพื่อนมันวางคิวไม่อยากเล่นต่อ

คนไทยที่จ้อรออยู่ ก็เดินไปท้าทายทันที โดยชักชวนว่า

ยู วันเกม เทนดอลลาร์ จนไปถึง วันเกม ฟิฟตี้ดอลลาร์ ถึงจะสูสีกันสุดประมาณทุกเกม นักสนุกเกอร์ฝรั่งก็กวาดเดิมพันเรียบทั้งโต๊ะ

จนนักสนุกเกอร์ระดับเซียนของพัทยา ระดมเปลี่ยนหน้ากันมา ทั้งพัทยาเหนือ พัทยากลาง และพัทยาใต้ ฝรั่งก็น็อคเรียบ เล่นกันอยู่หลายวันทีเดียว จนไม่มีคนไทยคนไหนจะสู้ได้

แม้ไปตามมือดีจากศรีราชามา นักสนุกเกอร์ฝรั่งก็ต้อนเสียหมดรูป

จนมีการต่อสายไปถึง “ต๋อง” ซึ่งตอนนั้น ต๋องกำลังรุ่งขึ้นมาใหม่ๆ นักสนุกเกอร์มือดีในระดับเดียวกัน ต๋องปราบมาหมด และมาโด่งดังเอามากๆ ที่เล่นกับเต่า หลังสวน และหนู ดาวดึงส์ จนหนังสือพิมพ์เอาภาพเอาเรื่องราวไปตีพิมพ์เป็นที่เอิกเกริก และสร้างความคึกคัก ตื่นตัวให้แก่วงการสนุกเกอร์เมืองไทยมากมาย

ต๋อง ตอนนั้นยังมีชื่อต่อท้ายว่า “ศิษย์ฉ่อย” ไปเล่นที่ไหน เซียนฉ่อยผู้พ่อจะตามขึ้นไปด้วย และสวมเสื้อยืดที่สกรีนตัวหนังสือตัวโตๆ ไว้ด้านหลังว่า I come with my son

ต๋อง และสมัครพรรคพวกจากคลองเตย ก็ลงไปพัทยาทันที ประกบกันแล้วเล่นตามกติกาที่ฝรั่งมันกำหนด ซึ่งเรายังไม่คุ้นไม่ถนัด ก็สู้ฝรั่งมันไม่ได้ ทั้งฝีมือและสไตล์การเล่น

นักสนุกเกอร์ชั้นเซียนล่าเดิมพันของไทยในยุคนั้น สไตล์การเล่นจะเหมือนนักมวยประเภท Boxer คือตบเอาแต้มสามสี่ชุดแล้วก็ชิ่ง หรือวางสนุ้ก

แต่นักสนุกเกอร์ฝรั่งไอ้หมอคนนี้ มันประเภท Fighter เล่นรอจังหวะเข้าไม้เบรกยาวทีเดียวเลย ไม่ทันให้คู่ต่อสู้ออกจากมุม ขาดลอยทุกเกม

กลับกรุงเทพฯ ด้วยความคาใจ ก็มาค้นหาหน้าตาและชื่อเสียงของนักสนุกเกอร์ฝรั่งคนนี้ จนพบว่า

ไอ้หมอนี่คือ “โทนี่ โนวส์” นักสนุกเกอร์มืออาชีพระดับโลก ที่ติดอยู่ในอันดับ ๑๖ คนแรกของโลก ในยุคสมัยเดียวกับ สตีฟ เดวิส และ จิมมี่ ไวท์

ตามข้อเท็จจริงแล้ว โทนี่ โนวส์ ไม่ได้ตั้งใจจะเดินสายมาเล่นสนุกเกอร์ล่าเดิมพันที่พัทยา แต่ว่างจากฤดูกาลแข่งขัน ก็บินมากับเพื่อนๆ เพื่อเที่ยวพักผ่อนที่พัทยา ตอนว่างๆ ก็แวะเข้าโต๊ะสนุกเกอร์ และหาดื่มเบียร์เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง

จนตกกระไดพลอยโจน กลายเป็นนักสนุกเกอร์เดินสายไป

ก่อนที่จะรู้ว่าฝรั่งหนุ่มผมยาวรายนี้คือยอดฝีมือระดับโลก โทนี่ โนวส์ ปรากฏว่า “ปู่ตึ๊ก” มงคล กั้นฝากลาง ซึ่งช่วงนั้นถือเป็น มือ 1 ประเทศไทยถูก “นายทุน” พาเดินสายเพื่อไปปราบฝรั่งรายนี้ โดยทราบกันว่า

เป็นกะลาสีเรือและจอดขึ้นฝั่งที่พัทยา

กว่าจะต่อรองเรื่องเดิมพันในเกมแข่งขัน เมื่อยมือไปตามๆ กันเพราะอีกฝ่ายพูดอังกฤษ แต่อีกฝั่งสปีคอิสาน แต่ก็ลงท้ายรู้เรื่อง แข่ง 5 เฟรม เดิมพัน 50,000 บาท ปรากฏว่าเล่นกันแค่ 3 เฟรม เพราะ เจ้าฝรั่ง ตบข้างเดียว จนวันต่อมาต้องพึ่ง “ดาวรุ่ง” ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ไปสู้อีกครั้งโดยกำหนดเล่น 3 ใน 5 ด้วยเดิมพัน 50,000 บาทเหมือนเดิม และก็เล่นแค่ 3 เฟรมยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ปรากฏว่า โทนี่ โนวส์ วางคิวไม่เล่นต่อโดยอ้าง แทงไม่ได้ เพราะแฟนสนุกเกอร์ชาวไทยมุงล้อมรอบโต๊ะถึงขนาด ต้องแหวกคนดูเข้าไปแทงในแต่ละไม้

หนนั้น คิวทอง อยู่ในเหตุการณ์ เพราะเป็นคนนำพา ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ไปแข่งขัน โดยได้ขอร้องแฟนสนุกเกอร์ เจ้าบ้าน ให้ยืนห่างจากโต๊ะ 2 เมตร และแจ้งให้ฝ่าย โทนี่ โนวส์ รับทราบ แต่ฝ่ายฝรั่งไม่ยอมเล่นท่าเดียว ผลสุดท้าย ต้องยกเลิกการแข่งขัน ซึ่งถือเป็นตำนานกล่าวขานกันจนทุกวันนี้ เพราะใครเจอหน้า ปู่ตึ๊ก

มักพูดแทงใจดำ ลาวพ่ายฝรั่ง จนเสียมวย

อ๊อด  หัวหิน

(ตีพิมพ์ในนิตยสารคิวทอง ฉบับที่ 411)