เปิดตำนานแชมป์โลกไทยคนแรก "ต๋อง ศิษย์ฉ่อย" รัชพล ภู่โอบอ้อม
17 ส.ค. 54 |
ในยุทธจักรวงการสอยคิวโลก หากเอ่ยชื่อถึง "ไทยทอร์นาโด" ต๋อง ศิษย์ฉ่อย หรือ รัชพล ภู่โอบอ้อม อดีต นักแทงมือ 3 ของโลก ชื่อนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธความสามารถได้แน่ เห็นได้จากความสามารถที่ร่ายเพลงคิวเอาชนะคู่ต่อสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่จริงประวัติปูมหลังช่วงวัยเยาว์ของ "ต๋อง" เด็กจากย่านคลองเตยก็ดื้อซุกซนเหมือนเด็กคนอื่นทั่วๆไป แต่ที่พิเศษไม่เหมือนใครเขามีคุณพ่อ "ฉ่อย ซู่ซ่าส์" หรือ นายโกวิน ภู่โอบอ้อม นักแทงมือดีในอดีต ที่คอยชี้แนะนำสอนลูกชายตัวเองให้เล่นกีฬาชนิดนี้เป็นตั้งแต่อายุยังน้อย ประเภทต้องเอาลังเครื่องดื่มมาต่อกันให้ ต๋อง ออกคิวแทงบนผืนสักหลาด หลังเจ้าตัวได้ติดตามคุณพ่อ ฉ่อย ซู่ซ่าส์ ไปทุกหนทุกแห่งที่มีการประกบคู่สนุกเกอร์แบบเดิมพัน ก่อนที่เจ้าตัวจะซึมซับกีฬาชนิดนี้ทีละเล็กละน้อย จนพัฒนาก้าวกระโดดในการฉายแววเป็น "อัจฉริยะ" ในเกม 6 หลุมในเวลาอันรวดเร็ว ต๋อง เริ่มลงแข่งขันสนุกเกอร์ครั้งแรกในระดับเยาวชน และคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศประเภทดาวรุ่ง ของ นิตยสารคิวทอง ในปี 2527 ขณะที่มีอายุเพียง 14 ปี จากนั้นก็เดินสายออกอาละวาด กินเงินเดิมพันมา นับล้านบาท ไล่ตบมือดาวรุ่งและรุ่นเก๋าจนทุกคนยอมศิโรราบว่า เด็กคนนี้เจ๋งจริงๆ ก่อนจะมีโอกาสได้เดินทางไปประเทศอังกฤษ เพื่อตามฝันของตัวเองก้าวไปสู่มือเทิร์นโปร แต่เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะช่วง ต๋อง ไปอยู่ดินแดนเมืองผู้ดีกับลูกเศรษฐีคนหนึ่ง ที่ก่อนหน้ารับปากว่า จะดูแลทุกอย่างให้ประมาณ 2 ปีเศษ แทนที่เขาจะได้เข้าโต๊ะสนุกเกอร์เพื่อฝึกซ้อมพัฒนาฝีมือตัวเอง กลับต้องไปเข้าบ่อนคาสิโนเพื่อรอรุ่นพี่คนนี้เล่นการพนันทุกวี่วัน ถึงขนาดทำให้ ต๋อง เกิดความท้อแท้และอยากกลับบ้านไม่คิดไปเป็นนักสนุกเกอร์อาชีพโลกอีกแล้ว หลังกลับมาเมืองไทยเพื่อเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ ต๋อง ได้พบกับ มร.มอริส เคอร์ อดีตกรรมการบริหารราชกรีฑาสโมสร ที่มีความหลงไหลและรักกีฬาชนิดนี้เป็นชีวิตจิตใจ ก่อนจะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเด็กคนนี้เพื่อหาทางช่วยเหลือไปสู่ดวงดาวแห่ง ความสำเร็จ เนื่องจาก มร.มอริส เคอร์ นั้นได้เป็นผู้รื้อฟื้นให้มีการแข่งขันสนุกเกอร์ชิงแชมป์ประเทศไทยกลับคืน มาอีกเมื่อปี 2525 ภายในบริเวณราชตฤณมัยสมาคม (สนามม้านางเลิ้ง) หลังเคยจัดมาแล้วเมื่อปี 2500 แล้วก็เงียบหายไป มีผู้สมัครเข้าร่วมไม่ถึง 20 คน ปรากฎว่า มีเซียนรุ่นเก่าหันมาสวมเวตส์ใส่เสื้อแขนยาวลงแข่งขัน (ชุดใหญ่) แดง 15 ลูก ซึ่งกว่าจะผ่านไปได้ก็ยุ่งยากพอสมควร เนื่องจากนักนักกีฬาไม่คุ้นเคยกับกฎและกติกา แต่ในปีต่อๆ มาก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาจนมาถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ มร.มอริส เคอร์ ได้ก่อตั้งสมาคมสนุกเกอร์แห่งประเทศไทยในปี 2525 โดยมีคณะกรรมการบริหารรุ่นบุกเบิกเพียง 7 คน คือ คุณมอริส เคอร์, คุณโอภาส เลิศพฤกษ์, คุณสินธุ พูนศิริวงศ์, คุณสุทธิชาติ จิราธิวัฒน์, คุณศักดา รัตนสุบรรณ, พล.ต.ต.ณรงค์ เหรียญทอง และ คุณเถกิง สวาสดิพันธุ์ เมื่อมีคณะกรรมการบริหารแล้วสมาคมสนุ้กเกอร์ประเทศไทยก็เริ่มก้าวต่อไป โดยชักชวนประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียนเข้ามาเป็นสมาชิก แล้วจัดให้มีการแข่งขันชิงแชมป์อาเซียนขึ้นเมื่อปี 2526 ที่ประเทศสิงค์โปร์ โดยมีสมาชิกร่วมแข่งขันคือ มาเลเซีย, บรูไน, ไทย และ สิงค์โปร์ ปรากฎว่า วิเชียร แสงทอง เอาชนะ ตา ต้นยุติธรรม ในรอบชิงชนะเลิศ พร้อมทำเบรกสูงสุดถึง 143 แต้ม กระทั่ง มร.มอริส เคอร์ ได้แนะนำให้ ต๋อง รู้จักกับผู้จัดการส่วนตัวชื่อว่า มร.ทอม มอร์แรน คนอังกฤษหัวใจไทย ที่ต้องการอยากเห็นและเข้ามาสนับสนุนพัฒนาฝีมือ ต๋อง ให้ไปไกลกว่านี้ เพราะด้วยความ "อัจฉริยะ" ฉายแววยากเกินกว่าที่ใครจะวัดรอยเท้าได้ หากได้รับการสนับสนุนที่ดีอย่างจริงจัง อนาคตของ "วัฒนา ภู่โอบอ้อม" ไปไกลแน่ และเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับ ต๋อง ไม่ต้องเสียความรู้สึกเหมือนครั้งแรกที่บินไปอังกฤษ ก็ได้มีการเซ็นสัญญาของทั้งสองฝ่ายขึ้นอย่างเป็นทางการถึง 4 ปี เพื่อพลักดัน ต๋อง ให้ก้าวไปสู่เวทีโลกให้สำเร็จ โดยค่าใช้จ่ายต่างๆที่อยู่อังกฤษ รวมไปถึงที่พักและเบี้ยเลี้ยงทาง มร.ทอม จะเป็นผู้ดูแลให้ทั้งหมด ต้องขอเรียนให้ผู้อ่านได้ทราบว่า สมัยก่อนนั้นนักสนุกเกอร์คนใดที่จะก้าวขึ้นไปสู่มืออาชีพโลกได้ จะต้องฝ่าด่านลงแข่งขัน รายการ "โปรทิคเก็ต" ทั้ง 4 รายการมาก่อน โดยจะคัดเลือกเอาคนที่มีผลงานคะแนนดีที่สุดอันดับ 1 ใน 26 คนเข้าไปเล่นอาชีพโลก ไม่เหมือนทุกวันนี้ที่สมาคมสอยคิวโลกเปิดโอกาสให้กับ แชมป์เอเชีย, แชมป์และรองแชมป์สมัครเล่นโลก กับ แชมป์เยาวชนโลกไปเทิร์นโปรได้ ผลปรากฏว่า ต๋อง สามารถทำคะแนนสะสมได้ดีสุดเป็นที่ 1 ของกลุ่ม ซึ่งในสมัยนั้นมีนักสอยคิวจากทั่วโลกมาร่วมคัดเลือกตัวเป็น 100 คน ซึ่งความหินเขี้ยวเค็มไม่ต้องพูดถึง จากนั้นมาเหมือนว่า ความมั่นใจของ ต๋อง จะมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ เปรียบ "เสือติดปีก" เพราะสมัยนั้น ต๋อง ซ้อมหนักวันละ 8-10 ชม.เป็นเวลานานนับปี เรียกได้ว่า ทุกเหลี่ยมมุมมันฝังเข้าไปในแกนกระโหลกจนอ่านเกมทุกอย่างขาด กระทั่งในปี 1988 ต๋อง ได้โอกาสเข้าร่วมการแข่งขัน สนุกเกอร์สมัครเล่นชิงแชมป์โลก ที่เมืองซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย ด้วยการที่ ต๋อง กำลังสดจากไร่ หลังใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอนบนผืนสักหลาดมากกว่าไปเที่ยวเล่น ผลปรากฏว่า ต๋อง คว้าแชมป์โลกคนแรกให้กับประเทศไทยได้สำเร็จด้วยการเอาชนะ "แบรี่ พริ้นเซส" มือเก่งของอังกฤษมา 11-8 เฟรม นอกจากนี้ ต๋อง ยังคว้าแชมป์สอยคิวเอเชียมาได้ถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกปี 2527 และปี 2529 ที่ศรีลังกา ส่วนครั้งสุดท้ายปี 2553 ที่จีน "ผมตื่นเต้นและดีใจมากที่สามารถเป็นคนไทยคนแรกคว้าตำแหน่งแชมป์โลกในกีฬา ชนิดนี้ เพราะสมัยนั้นไม่คิดมาก่อนว่า เราจะมาถึงจุดนี้ได้ แต่เป็นเพราะแรงบันดาลใจที่ผมเป็นคนทำอะไรแล้วจริงจังทุ่มเทเต็มที่ เช่นเดียวกับกีฬาสนุกเกอร์ที่ตัวเองรักมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยก่อนซ้อมหนักจนมันไม่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อแท้อะไร อยากจะเล่นอยากจะออกคิวเพื่อทบทวนตัวเองอยู่ตลอดเวลา" และสิ่งนี้กระมังที่ทำให้ผมฝีมือพัฒนาไปไกลกว่าใครเพื่อน โดยเฉพาะในกลุ่มนักสนุกเกอร์วัยเดียวกัน จากนั้นในปี 1989 ผมก็เข้าไปเทิร์นโปรเป็นนักสอยคิวอาชีพอย่างเต็มด้วย จากนักแทงมือไร้อันดับ และใช้เวลาเพียงแค่ 5 ปีไต่เต้าขึ้นไปสู่มือ 3 ของโลกได้สำเร็จในปี 1994/1995 โดยเป็นรองแค่เพียง สตีเฟน เฮนดรี้ และ สตีฟ เดวิส เท่านั้น นอกจากนี้ตัวเองยังเป็นนักสนุกเกอร์คนที่ 8 ของโลกที่สามารถทำเงินรางวัลได้มากกว่า 1 ล้านปอนด์ ปัจจุบันทำรายได้ทั้งหมดจากการแข่งขันอาชีพมาแล้ว 1.75 ล้านปอนด์ โดยเฉพาะในปี 1993 "ไทยทอร์นาโด" สามารถโกยเงินในปีเดียวได้มากเกือบ 390,000 ปอน์ด หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 23 ล้านบาท และในระดับเอเชีย ต๋อง ถือว่า เป็นนักสนุกเกอร์คนแรกที่บุกตลาดเวทีโลกจนสร้างชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ และวงศ์ตระกูล "ภู่โอบอ้อม" มากมาย ปัจจุบันแม้ว่า ต๋อง จะมีอายุปาเข้าไป 42 ปีแล้วก็ตาม แต่ความกระหายในชัยชนะและความกระสันต์ที่อยากจะกลับมาเป็น 1 ใน 64 นักแทงอาชีพโลกอีกครั้ง คือ สิ่งที่เจ้าตัวยังไม่หมดไฟ ที่สำคัญ ต๋อง ในวันนี้เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองไปมาก จากเด็กหนุ่มที่เคยใจร้อน อะไรไม่ถูกใจหรือหงุดหงิดใจ จะแสดงออกมาทันที แต่ทุกวันนี้เขาได้ พระพุทธศาสนา และ ธรรรมะ เข้ามาหล่อหลอมจิตใจให้ทุกอย่างดีขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด ณ เวลานี้ ต๋อง มีครอบครัวแล้วกับแฟนสาวคนสวย "น้องดาว" ปนัดดา ภู่โอบอ้อม และมีพยานรัก คือ "น้องจาว่า" ปองพล ภู่โอบอ้อม วัยขวบเศษ ทำให้ชีวิตครอบครัวทุกอย่างสมบุรร์มากขึ้น "สมัยก่อนผมยอมรับว่า เป็นคนใจร้อนเอาแต่ใจตัวเอง บางครั้งเรื่องอะไรนิดๆหน่อยๆก็เก็บมาคิดมาก โดยเฉพาะในเกมสนุกเกอร์ผมถือว่า เป็นนักสู้ดีเดือดไม่เป็นสองรองใคร แต่ทุกวันนี้ผมสลัดคราบทุกอย่างหมดแล้ว หากย้อนเวลากลับไปได้สมัยนั้นผมอยากมีสมองหัวคิดเหมือนวันนี้ มันจะไม่ทำให้ผมต้องมาลำบากดิ้นรนในเรื่องต่างๆเหมือนทุกวันนี้แน่" ทั้งที่จริงในตอนนั้นหากผมรักษามาตรฐานฝีมือตัวเองให้คงที่ ไม่หลงกับบางสิ่งบางอย่าง หรือ มีสติควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ปัญหาหลายสิ่งหลายอย่างคงไม่เกิดขึ้นแน่ แต่ด้วยวิถีความเป็นเลือดนักสู้มาตั้งแต่กำเนิด มันทำให้ผมค่อยๆผ่านทุกอย่างไปด้วยดี ยิ่งตอนนี้ผมมีลูกและภรรยาที่สมบูรณ์ ถือว่า ชีวิตครอบครัวมีความสุขแล้ว ส่วนที่เหลือที่ผมกำลังดิ้นรนในเส้นทางอาชีพ มันคือ โบนัสความสุขให้กับตัวเอง เพราะ มองว่า หากเลิกเล่นสนุกเกอร์แล้วก็จะผันตัวเองมาทำธุรกิจอะไรสักอย่างเพื่อดูแล ครอบครัว ซึ่งธุรกิจต่างๆในอดีตผมเคยทำมาหมดแล้ว แต่ก็เจ๊งและโดนหลอกเป็นประจำ ดังนั้นจากนี้ไปผมจะต้องระมัดระวังตัวเองมากขึ้น สุดท้ายสิ่งที่อยากเตือนรุ่นน้องทุกคน ที่จะมายืนตรงจุดนี้เหมือนตัวเอง คือ ต้องมีความอดทน, มุมานะอุตสาหะ และ ตั้งใจพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ อย่าคิดว่า ตัวเองเก่งแล้ว หรือ ประมาทคนอื่น เพราะมันจะนำไปสู่หายนะได้ เพราะบนโลกใบนี้ไม่มีใครเก่งหรือใหญ่ค้ำฟ้าแน่
"ต้นสัก" อภิชาติ ระวีวัฒน์ รายงาน |