ทำไมถึงเรียกเซียน

19 เม.ย. 59

ยุค ๒๕๐๐ นั้น นักสนุกเกอร์ที่เก่งฉกาจฉกรรจ์ เป็นมือหนึ่งประจำถิ่น หรืออาจเป็นนักสนุกเกอร์ที่มีฝีมืออยู่ในระดับแนวหน้าของที่นั่น วงการสนุกเกอร์มักจะยกย่อง เรียกชื่อโดยมีคำว่า “เซียน” นำหน้า อาทิ เซียนเก๊า ฟันดำ, เซียนกิ๊ด นครสวรรค์, เซียนดำ ศรีราชา, เซียนเอ็ง บ้านใหม่, เซียนฮุย ประตูน้ำ, เซียนตา ลพบุรี, เซียนอ้วน พิษณุโลก, เซียนพล ขอนแก่น

 พอมาถึงช่วงยุคนี้ เอาตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๕ แล้วกัน นักสนุกเกอร์รุ่นใหม่ๆ ที่มีฝีมือดี กลับไม่มีการเรียกขานว่า “เซียน” แล้ว เป็นยุคที่วงการสนุกเกอร์ไทยเริ่มปรับโฉม มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น หาใช่เล่นเพื่อการพนัน หรือมั่วสุมแต่อย่างใดไม่ มีการแข่งขันอย่างเป็นทางการเป็นประจำทุกปี นักสนุกเกอร์ฝีมือดีทุกคนจะใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง แต่สมญาที่เรียกขานในวงการก็จะใช้ชื่อเล่น หรือชื่อย่อ ต่อท้ายด้วยสถานที่เขาประจำอยู่ เช่น ช้าง ป่าโมก, เบิ้ม เชียงใหม่, ดร เมืองชล, รมย์ สุรินทร์, โท้ย โคราช, เต่า หลังสวน, ต่าย พิจิตร, หนู ดาวดึงส์, ดำ คลองเตย

 สังเกตนะครับ ไม่มีใครเรียกเซียนนำหน้าแล้ว

แต่นักสนุกเกอร์เก่าๆ ที่เคยได้ชื่อว่า “เซียน” เหล่านี้ก็ยังอยู่ในวงการ หลายรายก็เข้าทำการแข่งขันเหมือนกัน เป็นนักกีฬาทีมชาติมากมาย เช่น เซียนตึ๊ก โคราช, เซียนโก๊ะ อยุธยา, เซียนตา ลพบุรี ฯลฯ และบรรดานักสนุกเกอร์รุ่นใหม่ยังให้ความนับถือ บางทีก็ยกย่องเป็นปรมาจารย์

 เหตุใดคำว่า “เซียน” จึงหายไป

หากตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็คือ ไม่มีใครเรียกนักสนุกเกอร์รุ่นใหม่ว่า “เซียน” มันก็หายไปเอง ทั้งที่รุ่นเก่านั้น ยังคงเรียกเซียนติดปากกันอยู่

คงเป็นกระแส หรือค่านิยม เพราะคนไทยมักมองคำว่า “เซียน” ไปในทางที่ไม่ดีนัก คงพิลึก พิเรนทร์ ผิดฝาผิดตัว ผิดแบบผิดแผน ไปทำนองนั้นมากกว่า เช่น ไอ้นี่เล่นเป็นเซียนเลย

ดีไม่ดี ใครไปสื่อความหมายว่า เซียนมักจะชอบใช้กันในวงการพนัน เช่น เซียนม้า เซียนมวย พอเป็นเซียนสนุกเกอร์ ก็เลยมองง่ายๆ ไปว่า เป็นนักพนัน ทั้งที่มันคือกีฬา มันเป็นเกมการแข่งขัน ที่ใช้สมอง ใช้สติ ใช้ฝีมือ ใช้ความฝึกฝน ใช้สมาธิ ใช้ความฉลาดเฉลียวและมีไหวพริบ ที่เหนือกว่าคนธรรมดา

เมื่อวงการสนุกเกอร์แพร่หลายสู่สังคมเปิดมากขึ้น คำว่าเซียนจึงไม่ค่อยเหมาะ

เราลองมาดูความหมายของคำว่า “เซียน” ดีไหม ไม่ใช่จะมาท้าตีท้าต่อยหรือท้าทะเลาะ หรือถกเถียงเอาชนะกัน แต่หากเซียนสนุกเกอร์รุ่นเก่ายังมีชีวิตอยู่ในวันนี้อีกหลายคน เราจะได้เรียกเขาโดยไม่ต้องกระอักกระอ่วน ตะขิดตะขวงใจ

 

พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๔ ให้ความหมายของ “เซียน” ว่า เป็นผู้สำเร็จ ผู้วิเศษ ผู้ที่เก่งหรือชำนาญในทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ

ดังนั้น “เซียน” ก็หาใช่ผู้ถนัดเรื่องการพนันถ่ายเดียวไม่เลย

ทีนี้มาดูความหมายของคนจีน เขายกย่องว่าเป็น “บุคคลที่ได้อภิญญาสมาบัติ” ซึ่งเข้าถึงความรู้ยิ่งกว่าปกติ เพราะ “อภิญญา” นั้น หมายถึงความรู้ที่ยิ่งกว่า ส่วน “สมาบัติ” คือการเข้าถึง

อภิญญาสมาบัติ จึงหมายถึงผู้ที่มีความรู้เข้าถึงยิ่งกว่าปกติ ยิ่งไปกว่านั้น “อภิญญา” ยังลึกไปถึง สามารถแสดงฤทธิ์ได้

เซียนสนุกเกอร์แสดงฤทธิ์ได้ไหมครับ หากไม่เก่งเป็นพิเศษ ไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่เหนือกว่านักสนุกเกอร์โดยทั่วไป ในวงการสนุกเกอร์คงไม่พร้อมใจเรียกว่า “เซียน” อย่างแน่นอน

เซ็นจูรี่ เบรก, แม็กซิมั่ม เบรก หรือกวาดไม้เดียวหมดโต๊ะ นั่นแหละคือฤทธิ์ของนักสนุกเกอร์คนนั้น นักสนุกเกอร์ธรรมดาจะทำเบรกระดับนั้นได้หรือ

เมื่อเข้าใจคำว่าเซียนในวงการสนุกเกอร์กันแล้ว ก็จะเล่าเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตเสี้ยวหนึ่งของบรรดาเหล่าเซียนสมัยเก่า ที่เดินสาย หรือจะเรียกให้หรูหราก็คือ การตระเวนท่องยุทธจักรวงการสักหลาดที่จะให้เห็นว่า เขามีลีลาและชีวิตที่น่าทึ่งไม่น้อย

ยุคนี้ไม่มีแล้วกระมัง เซียนประเภทเดินข้ามถิ่นไปหามือดีที่นั่น สาวคิวซดกันโดยมีเดิมพันติดหัวคิว และนักสนุกเกอร์คนอื่นได้ร่วมสนุกด้วย ซึ่งเป็นส่วนร่วมได้เสียจากการเลือกถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า เล่นนอก

วงการสนุกเกอร์สมัยก่อนจึงสนุกและตื่นเต้นอีตรงนี้

โต๊ะสนุกเกอร์ทุกแห่งจะมีมือดีประจำโต๊ะ ที่เรียกว่า “เซียน” บางแห่งมีระดับ ถึงกับมีเซียนที่มีฝีมือใกล้เคียงกัน ห้าถึงหกคน หากไม่กลายเป็นเพื่อนกันเสียก่อน ก็เปลี่ยนหน้าประกบคู่กันเองได้ทุกวัน จนเบื่อ จนรู้กันว่าใครเหนือกว่าใคร พอเข้าโต๊ะมา บรรดา “เซียน” หาคู่เล่นไม่ได้ ต้องนั่งดูทั้งวัน

วันไหนมีมือดีแปลกหน้าเดินสายมาถึงที่ จึงถึงทีของเซียนประจำโต๊ะจะรับแขกทันที

การเดินสายสมัยก่อนไม่ง่ายเลยนะครับ เซียนสนุกเกอร์ที่ออกเดินสายได้ต้องพร้อมหลายอย่าง ต้องมีนายทุนเป็นอันดับแรก ฝีมือนั้นต้องเยี่ยมยุทธอยู่แล้ว และหัวใจเป็นตัวแปรสำคัญมาก เซียนหลายคนถนัดแต่เก่งในถิ่น พอข้ามถิ่น ผิดกลิ่นผิดโต๊ะ แทงออกทะเล ไม่เป็นสับปะรดก็มี แถมบางแห่งฝ่ายเจ้าถิ่นส่งเสียงดัง ข่มขู่กลายๆ วางมือวางไม้ก็สั่นระริก แข้งขามือไม้อ่อนระทวย น้ำหนักและความแม่นยำผิดไปหมด หน้าซีด ใจสั่น ประหม่า เกร็งจนสาวคิวไม่รื่นก็มี

 แบบนี้ นายทุนเข็ดหลาบหมด เดินสายทีไรต้องเปลี่ยนนายทุนใหม่ทุกครั้ง

ที่สำคัญต้องมีทริคหรือกลยุทธ์หรือลีลาในการหาคู่เล่น เซียนสนุกเกอร์สมัยก่อนไม่ค่อยมีใครเคยเห็นหน้า เพราะยังไม่มี “คิวทอง” หรือคอลัมน์ “คิวทอง” ในหนังสือพิมพ์รายวัน แต่ในวงการสนุกเกอร์รู้จักแค่ชื่อเสียงและฝีมือ

ดังนั้น จะเดินสายไปต่างถิ่น จะต้องพรางตัว ทำเป็นว่ามาทำงานอะไรฉาบฉวยชั่วคราว แล้วแวะมาเล่นเอาสนุกสนาน มีติดปลายหัวคิวบ้างนิดหน่อยก็ได้

ครั้งหนึ่ง เซียนอนันต์ ลำปาง, เซียนวิเชียร ลำปาง และเซียนอ้วน พิษณุโลก สามสหายเดินสายลงใต้ แวะตามหัวเมืองใหญ่ๆ ลงไปเรื่อย ราชบุรี, เพชรบุรี, หัวหิน, บ้านดอน เอารถไปหนึ่งคันมีของเต็มท้ายรถ เช้าก็ขายของที่ตลาดสดในตลาด ขายจริงขายจัง บ่ายก็เข้าโต๊ะสนุ้กฯ ผู้คนก็จำได้เป็นพ่อค้าเร่ นึกว่าหมูสนามหลงทางมา ต่างก็แย่งกันไปท้าทายชวนเล่น

ก็จากเล่นสูสีกัน จนกระทั่งฝีมือมาห่างชั้นกันไปเรื่อย ตามราคาเดิมพันที่สูงขึ้น จนกระทั่งต้องมาต่อแต้มให้กัน เล่นท่าไหน อย่างไร ก็ถูกพ่อค้าเร่กวาดเดิมพันไปทุกเกม

บ่อยครั้งไปที่พวกเขามาด้วยกัน แสดงละครจับคู่เล่นกันเอง มีพนันด้วย แต่เล่นไม่เต็มฝีมือ นักสนุกเกอร์เจ้าถิ่นขอลงไปร่วมด้วย ก็กลายเป็นเหยื่อไปทันที

เซียนเสริฐ จันทบุรี เกาะท้ายมอร์เตอร์ไซค์มาจากปราณบุรี สะพายกล้องถ่ายรูปทั้งคนขี่และคนซ้อน ทำเป็นแวะเข้ามาปาดเหงื่อที่โต๊ะสนุกเกอร์ที่หัวหิน ใครก็คิดว่าเป็นช่างเร่รับถ่ายรูปนอกสถานที่ แต่งเนื้อแต่งตัวก็ไม่ผิดพ่อค้าขายลอตเตอรี่สมัยนี้ สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก๊อต สวมแว่นดำกันแดด สั่งโอเลี้ยง ชาดำเย็นมานั่งดูด และดูเขาเล่นสนุกเกอร์อย่างเพลิดเพลิน

พวกเขาเล่นสนุ้กกาหมู่ ไอ้ “สนุ้กกาหมู่” เป็นยังไง เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง

โต๊ะสนุกเกอร์ทุกแห่งจะมีมือดีประจำโต๊ะ ที่เรียกว่า “เซียน” บางแห่งมีระดับ ถึงกับมีเซียนที่มีฝีมือใกล้เคียงกัน ห้าถึงหกคน หากไม่กลายเป็นเพื่อนกันเสียก่อน ก็เปลี่ยนหน้าประกบคู่กันเองได้ทุกวัน จนเบื่อ จนรู้กันว่าใครเหนือกว่าใคร พอเข้าโต๊ะมา บรรดา “เซียน” หาคู่เล่นไม่ได้ ต้องนั่งดูทั้งวัน

วันไหนมีมือดีแปลกหน้าเดินสายมาถึงที่ จึงถึงทีของเซียนประจำโต๊ะจะรับแขกทันที

การเดินสายสมัยก่อนไม่ง่ายเลยนะครับ เซียนสนุกเกอร์ที่ออกเดินสายได้ต้องพร้อมหลายอย่าง ต้องมีนายทุนเป็นอันดับแรก ฝีมือนั้นต้องเยี่ยมยุทธอยู่แล้ว และหัวใจเป็นตัวแปรสำคัญมาก เซียนหลายคนถนัดแต่เก่งในถิ่น พอข้ามถิ่น ผิดกลิ่นผิดโต๊ะ แทงออกทะเล ไม่เป็นสับปะรดก็มี แถมบางแห่งฝ่ายเจ้าถิ่นส่งเสียงดัง ข่มขู่กลายๆ วางมือวางไม้ก็สั่นระริก แข้งขามือไม้อ่อนระทวย น้ำหนักและความแม่นยำผิดไปหมด หน้าซีด ใจสั่น ประหม่า เกร็งจนสาวคิวไม่รื่นก็มี

แบบนี้ นายทุนเข็ดหลาบหมด เดินสายทีไรต้องเปลี่ยนนายทุนใหม่ทุกครั้ง

ที่สำคัญต้องมีทริคหรือกลยุทธ์หรือลีลาในการหาคู่เล่น เซียนสนุกเกอร์สมัยก่อนไม่ค่อยมีใครเคยเห็นหน้า เพราะยังไม่มี “คิวทอง” หรือคอลัมน์ “คิวทอง” ในหนังสือพิมพ์รายวัน แต่ในวงการสนุกเกอร์รู้จักแค่ชื่อเสียงและฝีมือ

ดังนั้น จะเดินสายไปต่างถิ่น จะต้องพรางตัว ทำเป็นว่ามาทำงานอะไรฉาบฉวยชั่วคราว แล้วแวะมาเล่นเอาสนุกสนาน มีติดปลายหัวคิวบ้างนิดหน่อยก็ได้

ครั้งหนึ่ง เซียนอนันต์ ลำปาง, เซียนวิเชียร ลำปาง และเซียนอ้วน พิษณุโลก สามสหายเดินสายลงใต้ แวะตามหัวเมืองใหญ่ๆ ลงไปเรื่อย ราชบุรี, เพชรบุรี, หัวหิน, บ้านดอน เอารถไปหนึ่งคันมีของเต็มท้ายรถ เช้าก็ขายของที่ตลาดสดในตลาด ขายจริงขายจัง บ่ายก็เข้าโต๊ะสนุ้กฯ ผู้คนก็จำได้เป็นพ่อค้าเร่ นึกว่าหมูสนามหลงทางมา ต่างก็แย่งกันไปท้าทายชวนเล่น

ก็จากเล่นสูสีกัน จนกระทั่งฝีมือมาห่างชั้นกันไปเรื่อย ตามราคาเดิมพันที่สูงขึ้น จนกระทั่งต้องมาต่อแต้มให้กัน เล่นท่าไหน อย่างไร ก็ถูกพ่อค้าเร่กวาดเดิมพันไปทุกเกม

บ่อยครั้งไปที่พวกเขามาด้วยกัน แสดงละครจับคู่เล่นกันเอง มีพนันด้วย แต่เล่นไม่เต็มฝีมือ นักสนุกเกอร์เจ้าถิ่นขอลงไปร่วมด้วย ก็กลายเป็นเหยื่อไปทันที

เซียนเสริฐ จันทบุรี เกาะท้ายมอร์เตอร์ไซค์มาจากปราณบุรี สะพายกล้องถ่ายรูปทั้งคนขี่และคนซ้อน ทำเป็นแวะเข้ามาปาดเหงื่อที่โต๊ะสนุกเกอร์ที่หัวหิน ใครก็คิดว่าเป็นช่างเร่รับถ่ายรูปนอกสถานที่ แต่งเนื้อแต่งตัวก็ไม่ผิดพ่อค้าขายลอตเตอรี่สมัยนี้ สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก๊อต สวมแว่นดำกันแดด สั่งโอเลี้ยง ชาดำเย็นมานั่งดูด และดูเขาเล่นสนุกเกอร์อย่างเพลิดเพลิน

พวกเขาเล่นสนุ้กกาหมู่ ไอ้ “สนุ้กกาหมู่” เป็นยังไง เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง

 พอมีคนใดคนหนึ่งหมดเงิน หรือมีธุระวางคิวไปก่อน ที่เหลือก็กลัวขาดขา รีบชวนคนอื่นลงมาเล่น แต่เซียนเสริฐรอจังหวะอยู่ก่อนแล้ว รีบลุกไปเกาะโต๊ะแล้วบอกว่า

ขอลงเล่นด้วยคนได้ไหมฮิ

แล้วเดินไปเลือกไม้คิวตรงราวข้างฝา แทงใหม่ๆ ก็ดูพื้นๆ ลูกใกล้รูตรงๆ ยังแทงลงสองลูก ทำให้เสียแต้มหรือเสียกา สกรูก็ไม่เป็น อย่าว่าแต่ถอยหลังเลย อยู่กะที่ยังทำไม่เป็น อีตัวมันเลยตามหลังลงรูไปด้วย เรียกเสียงหัวร่อคนที่นั่งดูได้หลายครั้ง

ยิ่งแก้สนุ้กฯ ไม่เป็นเลย แทงได้ทื่อเสียจริงๆ ไม่มีไซด์ก้อย ไซด์หัว หรือไซด์โค้ง จึงแก้สนุ้กฯ ทีไรผิดเป็นคืบ แต่ก็ประคองตัวไปได้ทุกเกม ไม่เสียมาก พอได้บ้างหรือเสมอตัว

พอใครต่อใครวางคิว ก็เหลือตัวต่อตัว การเดิมพันก็ทวีมากขึ้นไปเรื่อย จากเล่นสนุ้กกา กลายมาเป็นเดิมพัน ช่างถ่ายรูปต่างถิ่นมันพัฒนาฝีมือได้รวดเร็วมาก รู้จักไซด์ รู้จักวางสนุ้กฯ รู้จักการสกรู ฝีมือที่มองดูสูสีในตอนแรก ทำไมยิ่งเล่นยิ่งห่างชั้น จนเจ้าถิ่นต้องยอมไปเอง

เป็นธรรมดาธรรมชาติในวงการสนุกเกอร์ สู้ไม่ได้ก็ต้องหาคนที่เก่งกว่ามาสู้แทน เซียนมือดีประจำถิ่นก็ถูกตามตัวมา หรืออาจนั่งดูอยู่ก่อนแล้ว ก็ถลันลงมาจับคิวแทน ก็ตกลงอิดออด เกี่ยงไปตามชั้นเชิง เซียนต่างถิ่นที่ยังอำพรางฝีมือไว้ไม่เต็มร้อย ทำเป็นขอแต้มต่อบ้าง เล่นกันไปจนแต้มต่อลดลงไปเรื่อยๆ จนมาเสมอกันไม่ต้องต่อ ดูเหมือนไอ้ช่างถ่ายรูปมันก็ยังชนะ

นั่นเป็นทริคของจริง

ที่ยกตัวอย่างเป็นลีลาชั้นเชิงการเดินสายของเซียนต่างถิ่น การจะเดินสายได้เงินเป็นกอบเป็นกำนั้น จะต้องเล่นแบบเดิมพัน ดังที่บอกทีแรกว่าสนุ้กกาเป็นอย่างไร สนุกเกอร์นั้น จะเล่นให้สนุกต้องมีติดหัวคิวบ้าง และเป็นแบบสนุ้กกา หรือสนุ้กชิงเดิมพัน และเป็นการดวลแบบตัวต่อตัว หรือแบบหมู่ คือสามคนสี่คนห้าคน

สนุ้กกา ก็คือกำหนดตกลงกันก่อนว่า ลูกสีนั้นมีค่าเป็นเงินลูกละเท่าไร พอตบลูกสีลงไป มาร์คเกอร์ก็จะทำเครื่องหมาย X ไปที่ชื่อเรา พอหมดเกมก็มาคิดกัน หักลบจำนวนกากัน

กาก็ย่อมาจากเครื่องหมาย “กากบาท” นั่นเอง

ราคาหรือจำนวนเงินก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกัน เช่น กาละ ๕๐ บาท ดังนั้นก่อนจะจรดคิวเปิดลูกเกมแรก จะต้องตกลงว่าเล่นเท่าไร ๕ – ๓ หรือ ๑๐ – ๕ หรือ ๓๐ – ๑๐ ตัวเลขข้างหน้าคือจำนวนเงินที่ใครชนะหรือมีแต้มสูงกว่าคนอื่น ก็ได้กินเปล่าไปจากทุกคน ส่วนตัวเลขหลังคือราคาของแต่ละกาที่ผู้เล่นคนไหนได้มากน้อยกว่ากัน ก็คิดเงินกันทันทีตอนหมดแต่ละเกม

๓๐ กา ๑๐ นี่มากนะครับ เกมหนึ่งได้เสียเป็นร้อย ก็ในสมัยที่ผมเล่านี่คือตอนที่มือดีสนุกเกอร์ยังใช้คำว่า “เซียน” นำหน้าอยู่ หากยังมีอายุอยู่ก็ไม่ต่ำกว่า ๗๐ แล้ว ตอนนั้นโอเลี้ยงแก้วละบาทเดียว ก๋วยเตี๋ยวชามละหกสลึง ค่ารถเมล์ในกรุงเทพฯ ๕๐ สตางค์ ค่าแท็กซี่ ๓๐ บาท นั่งได้จากประตูน้ำไปถึงดอนเมือง หรือจากตีนสะพานพุทธไปยานนาวาได้เชียว ค่าเกมสนุกเกอร์ก็เกมละ ๓ บาท

 จะว่าไปแล้ว เซียนสนุกเกอร์ในกรุงเทพฯ สมัยนั้น ออกจากบ้านมาเที่ยวโต๊ะสนุกเกอร์ได้เงินติดรำไพ่ ๑๐๐ บาท ก็พอค่าโสวหุ้ยในวันนั้นได้แล้ว เรียกว่า ๑๐๐ บาท ทั้งค่าน้ำดื่ม ค่าข้าวแกง ๒ มื้อ ค่ารถเมล์ไปกลับ ค่าบุหรี่ ๑ ซองสบายๆ เพราะกรุงทองซองละ ๕ บาท สามิตซองละ ๔ บาท สายฝนซองละ ๘ บาท เพราะมีก้นกรองและเมนทอล

เซียนสนุกเกอร์จะไม่สูบสายฝนหรอกครับ คนชอบล้อกันว่าบุหรี่โสเภณี เพราะมันอ่อนและเย็นวาบลำคอ นัยว่าไทยเลียนแบบรสชาติและซองมาจากบุหรี่ยี่ห้อซาเลม

กลับไปสนุ้กกากันใหม่ ยังไม่หมดพุง ตอนนั้นยุค ประมาณปี ๒๕๐๐ ขึ้นไปเห็นจะได้ เล่นกันประสาเพื่อนก็ ๓ – ๑ หรือกากบาทละ ๑ บาทเอง เล่นไปทั้งวันถึงเลือดกินเนื้อได้เชียว เซียนเจอกันยังเริ่มต้นประมาณ ๑๐ กา ๕ เป็นมาตรฐานก่อนเลย ต่อมาพอรู้นัยๆ จับกันได้แล้วว่า เป็นเซียนเดินสายมา ก็จะเปลี่ยนเล่นเป็นเดิมพัน คือ ไม่มีกา

เดิมพันนี่ง่าย ไม่ต้องพิธีรีตองมาก ตกลงกันเลยว่าเดิมพันเกมนี้เท่าไร ๑,๐๐๐ บาท ก็เยอะนะครับ หากคนแปลกหน้าเริ่มมาจับคู่กัน แต่การได้เสียไม่ได้แค่เท่าเดิมพัน จะมีคนดูถือหางเล่นวงนอก เหมือนแบบเล่นมวยยังไงยังงั้น เริ่มถือหางเดิมพันระหว่างคนดูด้วยกันหรือกับฝ่ายคนเล่นก็ได้ หรือเล่นไปยังไม่จบเกม ก็ยังต่อรองกันได้อีก ราคาต่อรองไหนจะขึ้นอยู่กับแต้มที่ใครได้นำหรือรอง และลูกที่เหลือบนโต๊ะ เช่น คนเล่นตะโกนว่า ๓ – ๒ ก็หมายความว่า ถ้าใครรองก็เสียแค่ ๒ ส่วนคนต่อเสีย ๓ หรือ ๒ – ๑ หมายถึง คนรองหากเสีย เสียแค่ ๑ ส่วน แต่คนต่อหากแพ้ จะต้องเสียถึง ๒ ส่วน ของจำนวนเงินที่เขารอง

เดิมพันเกมหนึ่งๆ ๓ พันบาทก็มากแล้ว ยิ่ง ๕ พันบาท นานๆ จะมีสักครั้ง หรือสองฝ่ายเล่นกันจนติดพัน ก็เลยฟันธงหนักๆ กันไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด เอ๊ย ... รู้เรื่อง

 แต่เชื่อไหมว่า ถึงเดิมพันแค่หลักพัน แต่การได้เสียแต่ละเกมมากกว่านั้น ขึ้นไปเป็นหลักหมื่นหรือหลายหมื่นก็มี เพราะคนดูจับพนันนอกกัน คนดูสามสิบคน เล่นนอกซัก ๑๐ คน คนหนึ่ง ๕๐๐ บาท ก็เป็นเงินเข้าออกหมื่นบาทแล้วครับ

มันก็แปลกนะครับ เซียนสนุกเกอร์สมัยนั้น มักจะรูปร่างสูงๆ ผอมเพรียว อาจเป็นเพราะอดหลับอดนอน กินข้าวไม่เป็นเวลา สูบบุหรี่หนัก ก็เลยไม่ค่อยมีคนอ้วน อีกทั้งการเล่นสนุกเกอร์ก็ต้องยืดเหยียดขาแข้งเอวหลังลำตัวไปวางทาบบนสักหลาด และเซียนสนุกเกอร์ก็มักจะหัดเล่นสนุกเกอร์มาตั้งแต่เด็กๆ ยังนุ่งขาสั้นอยู่เลย สังเกตก็ได้ เช่น เซียนงี้ ดำรงราษฏร์, เซียนโก๊ะ อยุธยา, เซียนกุ่ม ดาวคะนอง, เซียนตึ๊ก โคราช, เซียนเสริฐ จันทบุรี, เซียนเกี๊ยก หัวหิน, เซียนชัย ลำพูน, เซียนโม่ง เฉลิมโลก ฯลฯ

ดังนั้น หากเซียนคนใดรูปร่างแปลกไปจากนี้ ออกไปเดินสายต่างจังหวัด จะหาคู่เล่นได้สะดวก อย่างเช่น เซียนเง็ก อ่างทอง ตัวผอมเล็ก เลี่ยมฟันทอง หน้าเหมือนตี๋ ใครก็นึกว่าคนขับแท็กซี่ กว่าจะรู้ก็กวาดเงินหมดโต๊ะที่ราชบุรี

 “รินทร์ ระยอง” ตัวก็ไม่สูงไปกว่าเซียนเง็ก แต่ผิวดำ หน้าคล้ำ เดินสายไปเล่นแถวหัวเมืองชายทะเล ทำเป็นเดินขึ้นมาจากสะพานปลา พวกก็นึกว่าพวกเรือจับปลามาจากระยอง ใหม่ๆ ก็วางมือแทงยังกระโดกกระเดกเหมือนคนหัดเล่นสนุกเกอร์ พอเปลี่ยนหน้าคนชนมากขึ้น เดิมพันก็สูง ทำเป็นเล่นไม่ได้แล้ว มือขวาที่วางบนสักหลาดที่กระโดกกระเดก หัวนิ้วโป้งชี้โด่เด่นั้น

กลายเป็นเก็บมิดชิด ปลายนิ้วทั้งสี่คลี่ออกไปเหมือนพัด ไม่ผิดกับคลี่ไพ่ออก ตอนได้น็อคมืดสเปโต แถมได้โง่ด้วย

หมดคู่ต่อสู้แล้ว ถึงได้เปิดเผยตัวตน เป็นเซียนมาจากระยอง ตามเส้นทางของเซียนสนุกเกอร์ทั่วไป พอเก่งที่บ้านตัวเองจนไม่มีใครเล่นด้วยแล้ว ก็จะเข้ากรุงเทพฯ ไปประจำที่ใดที่หนึ่ง ว่างก็เดินสายไปเล่นโต๊ะอื่น จนคนรู้จักชื่อและจำหน้าได้ ไม่มีใครเล่นด้วยแล้ว

ก็จะมีพรรคพวกช่วยกันลงขัน หรือไม่ก็มีนายทุนที่รักการได้เสีย ชักชวนไปเดินสายหาเล่นตามต่างจังหวัด แต่ก็สืบมาก่อนว่า เซียนที่นั่นฝีมือระดับไหน ตนเองพอที่จะเอาไหวหรือไม่

เตี้ย ใต้ฟ้า ก็เดินสายหาคู่เล่นง่ายเพราะตัวไม่สูง “ใต้ฟ้า” นี้ เป็นโต๊ะสนุ้กฯ อยู่วังบูรพาบนชั้นสอง ตึกที่ติดกับโรงหนังควีนส์กะห้างใต้ฟ้า โต๊ะนี้ก็มีนักสนุกเกอร์ฝีมือดีมากมาย “เซี๊ยะ เก้าชั้น” ก็อยู่ที่นี่ รูปร่างก็พอๆ กัน และชอบเดินสายไปด้วยกัน “จั๊ว แปดริ้ว” ก็เป็นเซียนที่รูปร่างเตี้ย ไม่น่ากลัวเช่นกัน

เซียนบางคนเดินสายมาดหรูหรา ยั่วน้ำลายเจ้าถิ่นให้รู้ว่ามีกะตังค์ มารถเบนซ์ใหม่เอี่ยม แถมเจตนาจอดหน้าโต๊ะสนุกเกอร์เลย ให้ใครก็รู้มากะรถคันนี้ แบบนี้ ท้าใคร ใครก็อยากเล่นด้วย เซียนสมัยนั้นมีรถเก๋งขับซะที่ไหน ไม่เดินก็นั่งรถเมล์มอเตอร์ไซค์ยังพล่านเหมือนตอนนี้ด้วย นั่งสามล้อถีบมาก็โก้แล้ว เหมือนมาแจกกะตังค์จริงๆ เล่นไปก็ควักกระเป๋าไป ส่วนเพื่อนที่มาด้วยและเป็นคนขับรถเบนซ์นั้น ก็ทำเหมือนไม่อนาทรร้อนใจ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์เฉยบ้าง ออกไปอัดบุหรี่บ้าง

คนต่างถิ่นบ่ายๆ ก็เป็นฝ่ายวางคิวยอมแพ้ ไม่ไปไหน เปิดกระจกรถและนอนพักหลับในนั้น พอเย็นผู้คนก็คึกคัก จากได้ข่าวว่ามีเสี่ยจากกรุงเทพฯ เอาเงินมาทิ้งไว้ และผู้คนเลิกจากงานการ คนเต็มโต๊ะสนุกเกอร์หมด นักสนุกเกอร์คนนั้นก็เปิดประตูรถออกมา ก้าวเข้ามาและแน่นอนทีเดียว ยังไม่ทันจะหาที่นั่ง ก็มีหน้าม้า มาประกบคู่ชี้ชวนทันที

คราวนี้ไม่ไปหาคิวที่ราวแล้ว ย้อนกลับไปที่รถ แล้วกลับมาพร้อมคิวในมือ กระนั้นขาสนุกเกอร์เจ้าถิ่นก็หาสะกิดใจไม่ คงนึกว่าคนรวยกรุงเทพฯ ก็ย่อมมีคิวติดตัว เหมือนมีถุงไม้กอล์ฟติดรถ หรือมีเบ็ดตกปลาพร้อมมือเสมอ ฉะกันรอบสองนี้ เดิมพันก็สูง เงินเดิมพันวงนอกก็เพิ่มขึ้น จนเจ้าถิ่นยอมวางคิว และถามว่ามาจากไหน เขาบอกว่า ... ชื่อตึ๊ก

แค่ได้ยินชื่อก็เดาออก ว่าเป็นใคร เพราะช่วงนั้น เรวัต กั้นฝากลาง หรือตึ๊ก โคราช ดังจะตายชัก เขาเป็นแชมป์ประเทศไทย ส่วนคนที่มาด้วยและขับรถให้นั่นไม่ใช่จ้างมา หากเป็นนายทุนให้เซียนตึ๊ก เรียกว่า “เสี่ยชัย” เขาว่ามาจากพระโขนง เป็นเสี่ยจริงแต่ใจนักเลง และเป็นเจ้าของรถ

เซียนตา ลพบุรี หรือ ตา ตันยุติธรรม เดินสายก็หาคู่ง่ายดาย เพราะเขามาอาละวาดในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังเด็ก ยังไม่มีบัตรประชาชน จนมีนายทุนชวนเดินสายต่างจังหวัด ยังนุ่งกางเกงขาสั้นเข้าโต๊ะสนุกครับ ท้าผู้ใหญ่คนไหนเล่นก็ต้องเล่นด้วย เพราะปรามาสว่าเด็กเมื่อวานซืน กะอีกอย่างหนึ่งเด็กท้าไม่ยอมสู้ก็เสียฟอร์มเสียชื่อเซียนเจ้าถิ่นหมด

 สมัยนี้หากมีการเดินสาย ก็จะมีแต่ในกรุงเทพฯ ที่วนเวียนกันไป และรู้มือรู้จักกัน ตั้งใจไปวัดฝีมือวัดดวง ล้มเดิมพันกัน จะพรางตัวไปเหมือนเซียนยุคก่อนนั้นไม่ได้แล้ว หน้าตาและชื่อเสียงของนักสนุกเกอร์มือดีทุกแห่งแพร่หลายถึงกันรวดเร็วมาก

ลีลาการเดินสายของนักสนุกเกอร์ยุคปัจจุบันนี้ จึงไม่ค่อยตื่นเต้นและน่าจดจำเหมือนเซียนสนุกเกอร์สมัยก่อน ซึ่งเป็นไปตามสูตรปฐมบท คือต้องระวังตัวไม่ให้ใครระแคะระคายก่อน เพื่อจะได้เก็บสะสมทุนไปเรื่อยจากเล่นกับมือธรรมดา จนไต่ขึ้นไปตามลำดับ และวันสุดท้ายก็เซียนมือหนึ่งประจำโต๊ะที่แห่งนั้น แทนที่จะไปถึงก็ฟัดกะมือหนึ่งให้รู้ดำรู้แดงไปเลย แบบนี้หากพลาดท่า ไม่มีค่ารถกลับกรุงเทพฯ แน่ ค่อยเป็นค่อยไป ได้ศึกษาทำความคุ้นเคยกับโต๊ะ บรรยากาศ ผู้คน และซื้อใจพวกขาใหญ่ประจำโต๊ะได้ ทีนี้ จะปะทะฝีมือกับใคร ก็ไม่กังวลว่า จะเสี่ยงหรือไม่ หรือชนะแล้วจะเอาเงินกลับบ้านได้หรือเปล่า เซียนบางคนเล่นอยู่ได้เป็นสัปดาห์เลย บางคนปราบเซียนมือหนึ่งได้ พวกชอบใจชวนปักหลักอยู่ยาวเลยก็มี เช่น รินทร์ คางอึ่ง หรือรินทร์ คลองเตย

ภาษิตจีนว่า “ยิ่งอยู่นาน เพื่อนยิ่งน้อย” และ “โลกนี้ หากเรามีเพื่อนสักร้อยคน ยังนับว่าน้อยไป แต่ถ้ามีศัตรูแม้เพียงคนเดียว นับว่ามากเกินไปแล้ว”

เซียนสนุกเกอร์ที่หลายคนรู้จัก เคยเห็นฝีมือ เคยได้ยินกิตติศัพท์ ไม่น้อยที่ถูกยอมรับว่าเป็นซือแป๋ในวงการ พวกเขาจากโลกนี้ไปก็หลายคนแล้ว ลีลาของพญาเซียนยุคเก่านั้น สมควรจะถูกยกย่อง กล่าวถึง และบันทึกไว้เป็นตำนาน เล่าสู่กันฟังในวงการสนุกเกอร์ของเมืองไทย

 

อ๊อด หัวหิน

(ตีพิมพ์ในนิตยสารคิวทอง ฉบับที่ 392 และ 394)