ลาก่อน....แต่ไม่ลาจาก

13 ธ.ค. 61

ในที่สุดก็ถึงวันที่ต้องกล่าวคำอำลา.............

นิตยสารคิวทอง ที่ยืนหยัดอยู่ในวงการมาอย่างยาวนาน มีอันต้องอำลาแผงหนังสือไปอีกหนึ่งฉบับ แน่นอนครับหลายคนอาจจะบอกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของยุคของสมัย เพราะคนติดโทรศัพท์ ติดไอแพด มากกว่าติดหนังสือ

แต่ผมคิดว่าไม่ใช่แบบนั้นไปซะทั้งหมด

เรื่องของโลกออนไลน์ปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่ทำลายวงการหนังสือเพียงอย่างเดียว ผมว่ากำลังจะทำลายระบบต่าง ๆ มากมาย และกระจายไปวงกว้าง

จะบอกว่า ทำลายระบบนิเวศน์เลยก็ว่าได้

“หนังสือ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมือนกับเป็น “เส้นขนาน” ของคนฝั่งหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่น่า “พิสมัย” และน่า “อภิรมย์” ของชนกลุ่มน้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

เราจะได้ยินคำว่า “ไม่ชอบอ่านหนังสือ” จากคนรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่, รุ่นพี่, รุ่นน้อง หรือแม้แต่รุ่นเราเอง

รวมถึงตัวเราเองด้วย

 

คนเรามักจะ “ชอบอะไร จะสนใจอย่างนั้น” ไม่ใช่เรื่องแปลก มันเกิดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งตรงนี้มันเกิดขึ้นกับตัวเราเอง ยกตัวอย่าง ตัวผมเอง แม่มีร้านขายอาหารตามสั่ง รับหนังสือพิมพ์ทุกวันเพื่อให้คนที่แวะมาอุดหนุนได้อ่านกัน ทำลายเวลาในการรออาหาร

ผมเลือกจะอ่านหน้ากีฬาก่อน และอ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศก่อนกีฬาอื่น ๆ เสมอ

ขณะที่แม่ก็จะเลือกอ่านข่าวต่างประเทศก่อนเป็นลำดับแรก แล้วค่อยพลิกมาอ่านหน้าอื่น ๆ ส่วนพ่อก็จะอ่านข่าวการเมือง และตามด้วยข่าวกีฬา

ยิ่งวันอาทิตย์เมื่อก่อนดูไปขนลุกไป เพราะดาราสาว มาถ่ายภาพโชว์แบบอะร้าอร่ามบนหน้าปก ก่อนจะต้องรีบพลิกไปเก็บงานกันต่อที่หน้ารองสุดท้ายเซสชั่นสอง

….โลกออนไลน์ ทำให้หลายคนเหมือนเป็นใบ้ นั่งอยู่ด้วยกัน ยังส่งข้อความหากัน เดินก้มหน้าก้มตาเหมือนหาเหรียญบาทแทบจะทั้งวัน อย่างที่บอกไปว่า การสั่งซื้อของออนไลน์ ก็ทำลายระบบพ่อค้าแม่ขายตามตลาดนัด เรื่อยไปยันห้างสรรพสินค้า

สังเกตว่าของวางน้อยลงเรื่อย ๆ แต่จะมีร้านอาหาร กับ ร้านซ่อมโทรศัพท์มีเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ

ไม่ต่างอะไรกับที่ ร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ เกิดขึ้นแบบซอยละ 3 ที่ ทำลายระบบร้านชำจนหมดสิ้น หรือระบบกูมีเงิน กูซื้อที่ทำคอนโด โดยที่ไม่สนใจรอบข้างว่ามันจะอึดอัด รถจะติดตายห่า (น) ขนาดไหน

.....ทุกวันนี้ชัดเจนเลยว่า เอาเข้าจริงคนยังอยากอ่านหนังสือ แต่ประเด็นก็คือ “ร้านหนังสือ” เริ่มไม่มีให้เห็น ครั้นจะไปถึงร้านสะดวกซื้อดัง ก็วางบางทีกลัวคนเห็น วางแทบจะหลังตู้เย็นก็มี

 

ยกตัวอย่างง่าย ๆ แถวบ้านผมเคยมีร้านหนังสือตลอดเส้นทางกลับบ้าน 6 ร้าน ปัจจุบันเหลือแค่ร้านเดียวเท่านั้น

เอาเข้าจริง “โลกออนไลน์” ไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่มันเป็นสิ่งที่ “ถูกจริต” คนไทยจริง ๆ รวดเร็ว, ถูกใจ แต่ผิดถูกอันนี้ไม่แน่ใจ แชร์ไว้ก่อน

แม้ประเทศอื่นจะพอมีผลกระทบบ้าง แต่ไม่ได้รุนแรงและย่อยยับเหมือนกับบ้านเรา

นิตยสารคิวทอง ก็เช่นกัน ไม่ต่างอะไรกับที่โดนผลกระทบจากโลกปัจจุบัน ยิ่งเป็นหนังสือเฉพาะกลุ่มยิ่งแล้วใหญ่ แถมปัจจุบันเฟซบุ๊กเพจสนุกเกอร์เกลื่อนเมือง

บางคนบอกว่าข่าวดูเก่า คอลัมน์เหมือนกับช้าไป แต่อย่าลืมว่า ทุกอย่างมีขั้นมีตอนและผ่านการกลั่นกรองกันมาแล้วทั้งนั้น

แต่ก็นั่นแหละ มันหมดยุคแห่งความคลาสสิคไปแล้ว

....ถึงวันนี้ นึกแล้วยังจำได้ว่า หลังจบการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2002 ที่ปูซาน “คิวทอง” คุณศักดา รัตนสุบรรณ เดินมาบอกผมที่อัฒจันทร์หลังจบเกมที่เราได้ 2 เหรียญทองว่า อยากให้มาช่วยเขียน “นิตยสารคิวทอง”

ผมตอบแบบไม่คิดทันทีว่า “ได้ครับ”

อยู่สายนี้ ทำงานในไลน์นี้ ไม่เขียนสนุกเกอร์ได้ยังไง

จากวันนั้นถึงวันนี้ รวมเวลา 16 ปีที่ได้เขียนงาน โดยพลาดไปทั้งสิ้น 4 ครั้งที่ไม่ได้ส่งต้นฉบับ จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามวาระ แต่จากนี้ไปจะไม่ได้ยินการโทรมาทวงต้นฉบับจากป๋าศักดา อีกแล้ว

ไม่ได้อ่านข้อความทาง line จากทีมงานอีกต่อไป

ไม่ได้รับข้อความการโอนเงินค่าต้นฉบับจากเจ๊อ้อย อีกต่อไป

แต่ไม่ต้องห่วง แฟนสอยคิวสามารถติดตาม “คิวทอง” ได้เหมือนเดิมต่อไป ทางเว็บไซต์ ทางโลกออนไลน์

กลิ่นกระดาษอาจหายไป แต่หัวใจยังคงเหมือนเดิม

ขอบคุณพื้นที่คอลัมน์ “บีแหลมสิงห์ มาเยือน” ที่มอบให้ผมทำหน้าที่มายาวนานขนาดนี้ และขอบคุณท่านผู้อ่านที่ติดตามกันเสมอมา

“ลาก่อน” แต่ไม่ “ลาจาก” ......อนาคตไม่มีอะไรแน่นอน

ยกเว้น “จิตวิญญาณ”...........

 

บี แหลมสิงห์

(ตีพิมพ์ในนิตยสารคิวทอง ฉบับที่ 433)